

สรุปข่าว
"ไทย" ติดอันดับ 8 ของประเทศที่คาดการณ์ว่าเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นในปี 2566 ขณะที่ "อินเดีย" รั้งอันดับหนึ่ง หลังภาวะเงินเฟ้อพุ่ง กระทบการปรับขึ้นเงินเดือน
วันนี้ (26 ต.ค.65) ข้อมูลของ ECA International บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลระดับนานาชาติ พบว่า "อัตราเงินเฟ้อ" ที่พุ่งสูงขึ้นนั้น ได้ส่งผลกระทบให้การปรับ "ขึ้นเงินเดือน" ลดลงอย่างมากในปีหน้า หรือปี 2566 โดยนับเป็นการลดลง 2 ปีติดต่อกัน
จากการสำรวจครั้งใหม่พบว่ามีเพียง 37% ของประเทศทั่วโลกที่คาดว่าจะรายงานการปรับขึ้นค่าแรงที่แท้จริง
ทั้งนี้ ECA International ระบุว่า ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ "ยุโรป" มีสาเหตุมาจาก แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเดือนที่แท้จริงถูกมองว่าถูกลดลงโดยเฉลี่ย 1.5% โดยพนักงานในสหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบมากที่สุดในปีนี้
นับตั้งแต่การสำรวจเริ่มขึ้นในปี 2543 แม้จะขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 3.5% แต่เงินเดือนตามความเป็นจริงก็ลดลง 5.6% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 9.1% และคาดว่าจะลดลงอีก 4% ในปี 2566
ขณะที่ "สหรัฐอเมริกา" พบว่า อัตราจริงคาดว่าจะอยู่ที่ 4.5% ในปีนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวในปีหน้าจากการที่อัตราเงินเฟ้อลดลง ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนตามเงื่อนไขจริง 1%
นอกจากนี้ ประเทศในเอเชีย 8 ใน 10 ประเทศชั้นนำ คาดการณ์ว่าจะได้รับเงินเดือนจริงเพิ่มขึ้น นำโดยอินเดีย เพิ่มขึ้น 4.6% เวียดนามเพิ่มขึ้น 4.0% และจีนเพิ่มขึ้น 3.8% ส่วนบราซิลเพิ่มขึ้น 3.4% และซาอุดีอาระเบีย 2.3%
ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียของ ECA International ระบุด้วยว่า การสำรวจชี้ให้เห็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับคนงานทั่วโลกในปี 2566 มีเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศที่ทำการสำรวจเท่านั้นที่คาดว่าจะได้รับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นจริง ซึ่งตามข้อมูลของ ECA พบว่าเงินเดือนเฉลี่ยลดลง 3.8% ในปี 2565
สำหรับแบบสำรวจแนวโน้มเงินเดือนของ ECA โดยอ้างอิงตามข้อมูลที่รวบรวมจากบริษัทข้ามชาติกว่า 360 แห่ง ใน 68 ประเทศและเมืองต่างๆ พบดังนี้
10 อันดับแรกของประเทศ ที่คาดว่าเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นในปี 2566
1.อินเดีย (4.6%)
2.เวียดนาม (4.0%)
3.จีน (3.8%)
4.บราซิล (3.4%)
5.ซาอุดีอาระเบีย (2.3%)
6.มาเลเซีย (2.2%)
7.กัมพูชา (2.2%)
8.ไทย (2.2%)
9.เป็นเจ้าของ (2.0%)
10.รัสเซีย (1.9%)
5 อันดับแรกที่คาดว่าจะลดลง
1.ปากีสถาน (-9.9%)
2.กานา (-11.9%)
3.ตุรกี (-14.4%)
4.ศรีลังกา (-20.5%)
5.อาร์เจนตินา (-26.1%)
ข้อมูลจาก สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ภาพจาก TNN Online
ที่มาข้อมูล : -