จับ บำบัด ทำลาย วัฏจักรที่รัฐกำลังเปลี่ยนให้เป็นวงจรแห่งความหวัง

ในอดีต หากพูดถึงนโยบาย “ปราบปรามยาเสพติด” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงภาพเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ การแถลงข่าวยึดยาบ้า ยาไอซ์ หรือยาเคจำนวนมหาศาล ก่อนนำของกลางไปทำลาย พร้อมภาพผู้เสพจำนวนมากที่ถูกส่งเข้าค่ายบำบัด

ภาพเหล่านี้หมุนเวียนอยู่ในหน้าข่าวมาหลายสิบปี จนสังคมเริ่มตั้งคำถามว่า—เรากำลังติดอยู่ในวัฏจักรเดิมที่ไม่มีวันหลุดพ้นหรือไม่?

แต่วันนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กำลังพยายามเปลี่ยนแปลงวัฏจักรเดิมนั้น ให้กลายเป็น “วงจรแห่งความหวัง” ด้วยวิธีคิดและแนวทางที่เข้มข้น รอบด้าน และมีมนุษยธรรมมากขึ้น


จับ บำบัด ทำลาย วัฏจักรที่รัฐกำลังเปลี่ยนให้เป็นวงจรแห่งความหวัง

สรุปข่าว

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ขับเคลื่อนนโยบายปราบปรามยาเสพติดแบบรอบด้าน จับ-บำบัด-ทำลาย ให้เป็นระบบยั่งยืน เน้นความร่วมมือภูมิภาค ใช้เทคโนโลยีเสริมกำลังสกัดแนวชายแดน พร้อมผลักดันการบำบัดผู้เสพอย่างเป็นรูปธรรม

ไม่ใช่แค่ “ปราบ” แต่ “สกัด” ให้ถึงต้นทาง

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ร่วมกับผู้นำเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งยืนยันแนวทางการทำงานว่า การสกัดยาเสพติดต้องเข้มข้นในทุกมิติ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

รัฐบาลเดินหน้าอุดช่องโหว่แนวชายแดน—โดยเฉพาะบริเวณที่ติดกับเมียนมาและลาว ซึ่งถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดมายาวนาน ด้วยการระดมกำลังจากกองทัพ ตำรวจ และ ป.ป.ส. และการติดตั้งเครื่อง X-ray ตรวจค้นอัจฉริยะในด่านสำคัญทั่วประเทศ

(นี่ไม่ใช่แค่การทำงานเชิงรุก แต่คือการออกแบบระบบใหม่ ที่มุ่งสกัดวงจรอาชญากรรมตั้งแต่ต้นทาง)

“จับ” เพื่อยุติเครือข่าย ไม่ใช่แค่ตัวเลข

แตกต่างจากแนวทางในอดีต รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเครือข่ายยาเสพติดมากกว่าการแถลงตัวเลขการจับกุม

การวิเคราะห์เส้นทางเงิน ฟอกเงิน และการตัดตอนผู้มีอิทธิพลในระดับท้องถิ่นและประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเป้าหมายสำคัญที่นายกรัฐมนตรีกำชับเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานเชิงลึกกับประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมกันปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งขบวนการคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด โดยนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลกัมพูชายืนยัน “ให้ความร่วมมือ 100%”

(ความร่วมมือระดับภูมิภาคเป็นมิติใหม่ที่ทำให้การปราบปรามในวันนี้ “ไม่เหมือนเดิม”)


“บำบัด” ไม่ใช่แค่การรักษา แต่คือการให้โอกาส

หนึ่งในมุมที่น่าสนใจ คือท่าทีของรัฐที่เปลี่ยนไปต่อ “ผู้เสพ” จากเดิมที่มักถูกมองว่าเป็นอาชญากรหรือปัญหาทางสังคม กลับกลายเป็น “ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ”

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการบำบัดแบบสมัครใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และสนับสนุนการคืนคนเหล่านี้กลับสู่สังคม ผ่านการร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุข ท้องถิ่น และภาคเอกชน

(ผู้เสพต้องไม่กลัวการเข้ารับการรักษา แต่ต้องรู้ว่า “รัฐพร้อมอยู่ข้างเขา”)

ทำลายยาเสพติด = ทำลายเส้นทางส่งต่ออันตราย

แม้การทำลายของกลางจะเป็นขั้นตอนทางเทคนิค แต่รัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับกระบวนการควบคุมที่รัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ยาเสพติดเล็ดรอดกลับเข้าสู่ตลาดมืด

(เพราะทุกเม็ดยาที่ถูกทำลาย คืออันตรายที่ไม่ไปถึงมือเยาวชน หรือผู้ใช้หน้าใหม่)

จากวัฏจักร...สู่ระบบที่ยั่งยืน

แม้โครงสร้าง “จับ-บำบัด-ทำลาย” จะยังเป็นรากหลักของนโยบายปราบปรามยาเสพติด แต่รัฐบาลแพทองธารได้เติมเต็มองค์ประกอบใหม่เข้าไป—ทั้งเทคโนโลยี ความร่วมมือระหว่างประเทศ และแนวทางการบำบัดที่มองเห็น “มนุษย์” มากกว่าความผิด

การขับเคลื่อนในระดับนโยบายอาจยังต้องใช้เวลา และไม่มีสูตรสำเร็จแบบข้ามคืน แต่สัญญาณที่เกิดขึ้นในวันนี้คือ การที่รัฐกำลังพยายาม “เปลี่ยนจากวัฏจักรที่วนซ้ำ” ให้เป็น “ระบบที่มีทางออก”

และถ้าสังคมจับตา ส่งเสียง และร่วมมือ—นี่อาจเป็นครั้งแรกที่การแก้ปัญหายาเสพติด จะไม่จบลงแค่ในหน้าข่าว

แต่กลายเป็นบทเปลี่ยนผ่านสู่ประเทศไทยที่ปลอดภัย และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : รัฐบาลไทย

avatar

ยศไกร รัตนบรรเทิง
เบน