
ณ วันที่ตัวเลขผู้ป่วยไตเรื้อรังในไทยทะลุ 1.12 ล้านคน เราต้องถามตัวเองว่า ทำไม "วิกฤตเงียบ" นี้จึงไม่ถูกพูดถึงมากพอในวงกว้าง? ทั้งที่นับเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับชาติที่กำลังคุกคามประชากรไทยอย่างไม่หยุดยั้ง และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี

สรุปข่าว
เบื้องหลังตัวเลข ทำไมเราถึงมีผู้ป่วยมากขนาดนี้?
ตัวเลข "1.12 ล้านคน" จากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2567 เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่น่าวิตก ซึ่งเมื่อวิเคราะห์เจาะลึกลงไป พบว่าปัจจัยหลายด้านผลักดันให้ตัวเลขนี้พุ่งสูงขึ้น
ประการแรก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประกอบกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปของคนไทย ทั้งการกินอาหารรสจัด อาหารแปรรูป การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ล้วนเพิ่มภาระให้กับไต
ประการที่สอง ความชุกของโรคเรื้อรังในสังคมไทยที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่นำไปสู่ภาวะไตเสื่อม โดยปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 5 ล้านคน และมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมากกว่า 13 ล้านคน
ประการที่สาม และอาจเป็นประเด็นที่ถูกมองข้ามมากที่สุด คือ "พฤติกรรมการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผลของคนไทย" ซึ่งนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายนี้
วัฒนธรรมการซื้อยากินเอง ปัญหาที่ถูกมองข้าม
คนไทยมีวัฒนธรรมการ "ซื้อยากินเอง" ที่ฝังรากลึกในสังคม ซึ่งไม่เพียงเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาเท่านั้น แต่ยังสร้างภาระให้ระบบสาธารณสุขในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลกระทบต่อไต
เป็นที่น่าสนใจว่ายาสามัญประจำบ้านที่หลายคนนึกไม่ถึงว่าเป็นอันตราย กลับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะ "กลุ่มยาแก้ปวดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)" ที่มีทั้งแอสไพริน (Aspirin) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ที่มักถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อเมื่อมีอาการปวดเมื่อย
กรณีศึกษาในหลายประเทศพบว่า การใช้ NSAIDs เป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลันถึง 3 เท่า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งในไทยยังขาดการศึกษาเชิงลึกในประเด็นนี้ แม้ว่าจะมีอัตราการใช้ยากลุ่มนี้ค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ ยาต้านจุลชีพอย่าง "อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)" ยังเป็นอีกกลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อไต ซึ่งหากใช้ในขนาดสูงหรือใช้ในผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดพิษต่อไต
"ยาชุด" ปัญหาเก่าที่ยังไม่หมดไป
ปรากฏการณ์ "ยาชุด" ในสังคมไทย แม้จะถูกประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายมานาน แต่ยังคงพบเห็นได้ในร้านชำ ตลาดนัด หรือแม้กระทั่งร้านขายยาบางแห่ง ซึ่งปัญหานี้เชื่อมโยงโดยตรงกับวิกฤตโรคไตเรื้อรัง
การศึกษาองค์ประกอบของยาชุดในประเทศไทยพบว่า มักประกอบด้วยยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาคลายกล้ามเนื้อ, ยาลดกรด และที่อันตรายที่สุดคือสเตียรอยด์ ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ร่วมกันเป็นประจำโดยไม่มีการตรวจติดตาม เป็นการเร่งทำลายไตอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้ที่ใช้ยาชุดเป็นประจำ โอกาสเกิดโรคไตเรื้อรังสูงกว่าคนทั่วไปถึง 4-5 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหายาชุดไม่ควรเป็นเพียงการปราบปรามทางกฎหมาย แต่ต้องเน้นที่การให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชน
"ล้างไต" หรือ "บำรุงไต"? ความเข้าใจผิดที่ต้องแก้ไข
ปรากฏการณ์ที่น่าวิตกอีกประการคือ การเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าสามารถ "ล้างไต" หรือ "บำรุงไต" ซึ่งเป็นการหลอกลวงโดยแท้ เนื่องจากไม่มีผลิตภัณฑ์ใดสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ และการโฆษณาในลักษณะนี้ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
น่าเศร้าที่ธุรกิจเหล่านี้เติบโตขึ้นท่ามกลางความตื่นตัวเรื่องสุขภาพของประชาชน โดยอาศัยความกลัวและความกังวลเกี่ยวกับโรคไตเป็นเครื่องมือทางการตลาด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีราคาสูงและไม่มีประสิทธิภาพตามที่อ้าง
อันตรายที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสูญเสียเงินโดยไม่จำเป็น แต่คือการที่ผู้บริโภคอาจละเลยการดูแลสุขภาพไตตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง หรือชะลอการรักษา จนเมื่อเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย ก็สายเกินแก้
การคัดกรองโรคไต สิ่งที่ควรทำแต่มักถูกมองข้าม
แม้ว่าโรคไตเรื้อรังจะเป็นภัยเงียบ แต่ก็มีสัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่ อาการเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาการบวมตามร่างกายโดยเฉพาะที่ขาและข้อเท้า ปวดสีข้างด้านหลัง ปัสสาวะน้อยลงหรือมีฟองมากผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม วิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการตรวจคือการเจาะเลือดเพื่อตรวจค่าการทำงานของไต โดยเฉพาะค่า eGFR (estimated Glomerular Filtration Rate) ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินการทำงานของไต
ประเด็นสำคัญคือ การคัดกรองโรคไตมักไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพพื้นฐาน แต่ประชาชนจำนวนมากยังละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และผู้สูงอายุ
สามคำแนะนำที่ช่วยชีวิต การป้องกันที่ดีกว่าการรักษา
นายคารม พลพรกลาง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกัน โดยแนะนำสามวิธีหลักที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรัง:
"1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น" โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ที่มักถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อเมื่อมีอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย ทั้งที่ในหลายกรณีสามารถใช้วิธีอื่นทดแทนได้ เช่น การประคบ การนวด หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ
"2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาเอง" แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อไต เพื่อให้มีการประเมินความเสี่ยงและติดตามผลอย่างเหมาะสม การพึ่งพาบุคลากรทางการแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม
"3. ไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริมหรือยาจากสมุนไพรที่ผิดกฎหมาย" ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีการโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือยาชุด ซึ่งอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อไตโดยไม่มีการควบคุมคุณภาพ
วิเคราะห์นโยบายภาครัฐ ทำไมการป้องกันยังไม่ประสบความสำเร็จ?
เมื่อพิจารณาในแง่นโยบาย จะเห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ดังที่นายคารม ระบุว่า "รัฐบาลเน้นย้ำให้ประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไตตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง" อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างระหว่างนโยบายและการปฏิบัติจริง
- ประการแรก การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาชุดและผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงยังคงมีข้อจำกัด ทำให้ประชาชนยังเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย
- ประการที่สอง งบประมาณสำหรับการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผลยังไม่เพียงพอ การให้ข้อมูลยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
- ประการที่สาม การเข้าถึงการคัดกรองโรคไตในระดับชุมชนยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุที่อยู่ห่างไกลจากสถานพยาบาล
ผลกระทบระยะยาว ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
ตัวเลข 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี ที่เป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคไตเรื้อรัง ไม่ได้สะท้อนเพียงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสูญเสียผลิตภาพแรงงาน ค่าเสียโอกาสของผู้ดูแล และค่าใช้จ่ายทางอ้อมอื่นๆ
ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกไตเป็นประจำมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 200,000-400,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่จะได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสุขภาพของรัฐ แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอีกมากมาย เช่น ค่าเดินทาง การขาดรายได้ และค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายมักลดลงอย่างมาก ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม การต้องพึ่งพาเครื่องฟอกไตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 4-5 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน และความสัมพันธ์กับผู้อื่น
เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม "วิกฤตเงียบ" ของโรคไตเรื้อรังกำลังคืบคลานขยายวงกว้างขึ้นทุกวัน หากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ตัวเลข 1.12 ล้านคนอาจทะลุ 2 ล้านคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
บทเรียนจากการระบาดของโควิด-19 ได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อสุขภาพของประชาชนอยู่ในภาวะวิกฤต ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ซึ่งควรนำมาประยุกต์ใช้กับวิกฤตโรคไตเรื้อรังด้วยเช่นกัน
แต่ที่สำคัญที่สุด การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มที่ตัวเราทุกคน การตระหนักถึงอันตรายของ "การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล" และหันมาใส่ใจสุขภาพไตตั้งแต่วันนี้ จะเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกัน "โรคเงียบ" ที่กำลังคร่าชีวิตคนไทยทีละน้อย
ในท้ายที่สุด ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่สามารถ "ล้างไต" หรือ "บำรุงไต" ได้ดีเท่ากับการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง กินอาหารให้พอเหมาะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และที่สำคัญ—ใช้ยาอย่างมีสติและสมเหตุผล