"เขาศาลปู่โทน" ทางลาดชัน กับโศกนาฏกรรมซ้ำซาก

เขาศาลปู่โทน ทางลาดชันแห่งโศกนาฏกรรมซ้ำซาก

โศกนาฏกรรมอีกครั้งบนเส้นทางที่รู้กันว่าเป็น "จุดสังหารเงียบ" ของประเทศไทย เมื่อยามเช้ามืดของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 รถทัวร์นำคณะดูงานจากเทศบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ พลิกคว่ำบริเวณทางลงเขาศาลปู่โทน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 18 คน และบาดเจ็บอีก 31 คน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพียงหนึ่งในโศกนาฏกรรมนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นที่จุดอันตรายแห่งนี้

"เขาศาลปู่โทน" ทางลาดชัน กับโศกนาฏกรรมซ้ำซาก

สรุปข่าว

รถทัวร์นำคณะจากเทศบาลพรเจริญ จ.บึงกาฬ พลิกคว่ำที่เขาศาลปู่โทน จ.ปราจีนบุรี เช้ามืดวันที่ 26 ก.พ. 2568 มีผู้เสียชีวิต 18 คน บาดเจ็บ 31 คน สะท้อนปัญหาซ้ำซากบนถนนสาย 304 ที่มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นทุกปี รวมทศวรรษที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตกว่า 60 คน แต่ยังไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง

เขาศาลปู่โทน ไม่ใช่ชื่อที่แปลกใหม่สำหรับข่าวอุบัติเหตุ ถนนสาย 304 บริเวณนี้เป็นดั่ง "สนามรบไร้สงคราม" ที่คร่าชีวิตและสร้างความสูญเสียมาอย่างต่อเนื่อง หากย้อนกลับไปในปี 2557 เกิดเหตุรถทัวร์ 2 ชั้นที่บรรทุกนักเรียนและครูเบรกแตกชนท้ายรถบรรทุก ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 14 คน ในปีเดียวกันนั้นเองยังมีรถพ่วงเบรกแตกพุ่งชนรถอีก 5 คัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน

ปี 2558 รถบรรทุกพ่วงเบรกแตกข้ามเลนชนรถหลายคัน คร่าชีวิตไป 8 ชีวิต ปี 2559 และ 2560 ลักษณะอุบัติเหตุเกิดขึ้นซ้ำๆ ในรูปแบบเดิม มีรถตกเหว รถชนต้นไม้ รถเบรกแตก เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละปี จนมาถึงเหตุการณ์ล่าสุดในวันนี้ "เบรกแตก" คือคำที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในอุบัติเหตุที่เขาศาลปู่โทน ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของถนนที่มีความลาดชันสูง และ "โค้งอันตราย" ที่ทำให้ผู้ขับขี่ยากจะควบคุมยานพาหนะ

เราได้ยินข่าวอุบัติเหตุที่เขาศาลปู่โทนบ่อยครั้งจนเริ่มชินชา ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกลายเป็นเพียงสถิติที่ถูกนำเสนอในข่าวสั้นๆ แต่หลังตัวเลขเหล่านั้นคือครอบครัวที่สูญเสีย ชีวิตที่ดับสูญ อนาคตที่พังทลาย หากนับรวมเฉพาะอุบัติเหตุใหญ่ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตบนเส้นทางนี้ไม่ต่ำกว่า 60 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่เคยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

ท่ามกลางความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดประวัติศาสตร์จึงซ้ำรอยในพื้นที่เดิม? ความรับผิดชอบอยู่ที่ใคร? และเมื่อไหร่ที่ความตายจะไม่ใช่แค่ "อุบัติเหตุ" อีกต่อไป?

เมื่อเหตุการณ์เกิดซ้ำในพื้นที่เดียวกัน รูปแบบเดียวกัน เป็นเวลานานนับทศวรรษ นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของปัญหาเชิงระบบที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด "การออกแบบถนน" ที่มีความลาดชันสูงโดยไม่มีช่องทางหลบภัยเพียงพอ "การบำรุงรักษา" ที่อาจไม่ทั่วถึงหรือไม่สม่ำเสมอ "การบังคับใช้กฎหมาย" ที่อาจหย่อนยานในการตรวจสอบสภาพรถก่อนขึ้นทางชันและการควบคุมความเร็ว รวมถึง "การตระหนักถึงความปลอดภัย" ของผู้ขับขี่เอง น่าเศร้าที่หลังเหตุการณ์แต่ละครั้ง มักมีการพูดถึงมาตรการแก้ไข แต่แล้วเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็กลับสู่ความเคยชิน จนกระทั่งโศกนาฏกรรมครั้งใหม่เกิดขึ้น

เส้นทางแห่งความสูญเสียนี้ท้าทายให้เราคิดถึงความรับผิดชอบร่วมกันในหลายระดับ ระดับนโยบายจำเป็นต้องมีการศึกษาและปรับปรุงโครงสร้างถนนอย่างจริงจัง การสร้างทางเลี่ยงสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือการสร้างระบบเตือนภัยอัจฉริยะที่ตรวจจับรถที่อาจประสบปัญหาเบรก ระดับการบังคับใช้ต้องมีการตรวจสอบสภาพรถอย่างเข้มงวดก่อนขึ้นเขา การจำกัดความเร็ว และการห้ามรถบางประเภทใช้เส้นทางนี้ในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนระดับผู้ใช้รถ ผู้ขับขี่ต้องตระหนักถึงอันตรายของเส้นทาง ตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งาน และลดความเร็วเมื่อขับขี่ในจุดอันตราย

เขาศาลปู่โทน อาจเป็นเพียงจุดหนึ่งบนแผนที่ แต่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่นี่เป็นบทเรียนราคาแพงที่แสดงให้เห็นปัญหาเชิงระบบในวงกว้าง เมื่อใดที่เราจะหยุดนับศพและเริ่มนับความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม?

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

ยศไกร รัตนบรรเทิง
(เบน)