อำเภอปาย ในมุมมองคนพื้นที่ ‘ยิว’ บุก หรือ ข่าวบิด?

อำเภอปาย กับการ ท่องเที่ยว การอยู่ร่วมกันของคนในพื้นที่กับชาวต่างชาติ

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดีย จากกรณีข่าวความขัดแย้งระหว่างคนท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาวยิวอาละวาดในโรงพยาบาล นักท่องเที่ยวต่างชาติเล่นดนตรีโดยไม่มีใบอนุญาต หรือกระทั่งข่าวลือว่าปายจะกลายเป็น "ดินแดนพันธะสัญญา" ของชาวยิว แต่คนที่อยู่ในพื้นที่จริงๆ มองเรื่องนี้อย่างไร? และอะไรคือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกระแสข่าวเหล่านี้?

ปาย เป็นเมืองเล็กๆ ที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ด้วยจำนวนประชากรราว 38,000 คน แต่กลับต้อนรับนักท่องเที่ยวหลายแสนคนในแต่ละปี การอยู่ร่วมกันระหว่างคนหลากหลายวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และบางครั้งก็นำมาซึ่งความขัดแย้ง

อำเภอปาย ในมุมมองคนพื้นที่ ‘ยิว’ บุก หรือ ข่าวบิด?

สรุปข่าว

อำเภอปายเผชิญกระแสข่าวเรื่องความขัดแย้งกับนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ผู้ประกอบการท้องถิ่นเผยปัญหาถูกขยายเกินจริง ขณะที่ทางการยืนยันมีชาวอิสราเอลเพียงวันละ 83 คน ไม่ใช่ 30,000 คน พร้อมจับกุมผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด นักวิชาการเสนอจัดระเบียบ เก็บภาษี สร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

จากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ พบว่ามุมมองต่อนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลมีความหลากหลาย บางส่วนมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นถูกขยายเกินจริงในสื่อสังคมออนไลน์ ขณะที่บางส่วนก็ยอมรับว่ามีปัญหาจริง แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

นายศุภฤกษ์ คมนอก หรือเชฟอาร์ม เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์ยิวในปาย เล่าว่า "กระแสดราม่าที่ออกมามันเกินความเป็นจริง ผมอยู่ติดกับโบสถ์ยิวแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย มีความวุ่นวายนิดหน่อยแค่ตอนที่พวกเขาออกมาจากโบสถ์"

นายศุภฤกษ์ คมนอก (เชฟอาร์ม) เป็นเชฟ และเจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองปาย

เชฟอาร์มยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โบสถ์ยิวหรือชาบัดไม่ได้มีแค่ที่ปาย แต่มีอยู่ทั่วประเทศไทยรวม 7 แห่ง ทั้งที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย พัทยา และพะงัน "ถ้าจะกระทบความมั่นคงระดับประเทศ คงกระทบไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้อารมณ์เหมือนกับมัสยิด โบสถ์คริสต์ ที่มีอยู่ทั่วไป" เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม เชฟอาร์มยอมรับว่ามีปัญหาจากนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลบ้าง "เข้ามาที่ร้านมาวุ่นวายและพูดเสียงดัง หรือไม่เข้าใจเรื่องเมนูอาหาร และมีเกือบจะไม่จ่ายเงินก็มีอยู่พอสมควร แต่ร้านเรามีมาตรการจัดการอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว"

ผู้ประกอบการอีกรายที่มีมุมมองน่าสนใจคือนายอาวุธ เจษฎาไกรสร เจ้าของโรงแรมเดอะพีคอก เดอปาย ผู้ที่เคยประกอบธุรกิจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนย้ายมาปาย เขามองว่ากระแสข่าวเชิงลบจะส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวมากกว่า

"ยิ่งข่าวออกมาเท่าไหร่ อำเภอปายยิ่งเสียหาย กระทบการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง" นายอาวุธกล่าว "คนไม่ดีเราใช้กฎหมายเนรเทศออก แย่งอาชีพเราก็ว่ากันไป แต่ไม่ใช่มาโวยวายแอนตี้"

ความกังวลของนายอาวุธไม่ได้เกินจริง เพราะการท่องเที่ยวเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจปาย หากนักท่องเที่ยวลดลงเนื่องจากกระแสข่าวเชิงลบ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือผู้ประกอบการรายย่อยและคนท้องถิ่นที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว

ทางด้านเจ้าหน้าที่รัฐ นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อลดความวิตกกังวลของประชาชน โดยระบุว่านักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่เข้ามาในปายมีเฉลี่ยประมาณวันละ 83-84 คนเท่านั้น ส่วนตัวเลข 30,000 คนที่มีการพูดถึงเป็นยอดสะสมตลอดทั้งปี

เอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน

สำหรับกรณีผู้กระทำผิดกฎหมาย ผู้ว่าฯ ยืนยันว่าได้มีการดำเนินการอย่างเข้มงวด "กรณีเกิดเหตุที่โรงพยาบาลอำเภอปาย จำนวน 4 คน ได้เพิกถอนวีซ่าและผลักดันออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนกรณีที่มาแย่งอาชีพคนไทยโดยการเล่นดนตรีได้มีการตรวจสอบจับกุม"

พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "โบสถ์ยิวไม่ได้เป็นแหล่งมั่วสุม แต่เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของศาสนายิว ที่มีการสวดมนต์ทานอาหารร่วมกันในทุกวันศุกร์และวันเสาร์ของทุกสัปดาห์เท่านั้น"


หากวิเคราะห์ลึกลงไป จะพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในปายมีหลายมิติ ทั้งเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่าง ความเข้าใจผิด และการขยายความในสื่อสังคมออนไลน์

ในแง่วัฒนธรรม ชาวอิสราเอลมีวิถีชีวิตและพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนไทย อาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันได้ง่าย ตามที่ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า "ส่วนใหญ่เป็นทหารที่จบภารกิจ ช่วงนี้พักรบจึงมาพักผ่อนเต็มที่" ซึ่งอาจทำให้บางคนมีพฤติกรรมที่ดูเหมือนก้าวร้าวหรือตรงไปตรงมาเกินไปในสายตาคนไทย

  • อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการแย่งอาชีพ มีรายงานว่าชาวต่างชาติบางส่วนเข้ามาประกอบอาชีพในปายโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่เชฟอาร์มมองว่า "ถ้าเขามีใบอนุญาตถูกต้อง แปลว่าเขามีสิทธิที่จะประกอบกิจการที่นี่ เพราะเขาต้องเสียภาษีให้ประเทศไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย"

ที่สำคัญคือการขยายความในสื่อสังคมออนไลน์ ข่าวลือเรื่อง "ดินแดนพันธะสัญญา" สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน แต่ทางการยืนยันว่ายังไม่พบหลักฐานการดำเนินการใดๆ ในลักษณะดังกล่าว

  • แล้วทางออกของปัญหานี้คืออะไร? 

ทางออกของปัญหานี้ควรเป็นการบูรณาการหลายมิติเข้าด้วยกัน ทั้งการปรับปรุงระบบการจัดการด้านการตรวจคนเข้าเมือง การวางกรอบกติกาที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยวระยะยาว และการสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการธุรกิจของชาวต่างชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวหลายท่านมองว่า การสร้างระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้หน่วยงานรัฐติดตามการเข้าออกและการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของชาวต่างชาติได้ดีขึ้น 

นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบจากธุรกิจที่ดำเนินการโดยชาวต่างชาติและการนำรายได้เหล่านี้กลับมาพัฒนาชุมชนท้องถิ่น จะช่วยสร้างความรู้สึกร่วมในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นความรู้สึกว่าถูกแย่งชิงทรัพยากรหรือโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องและจริงจังจากทุกภาคส่วน

ในระยะสั้น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนในระยะยาว การสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมและการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป

  • ในฐานะชุมชนท่องเที่ยว ปายไม่อาจปฏิเสธการต้อนรับผู้มาเยือนจากทั่วโลก แต่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต้องอาศัยความเข้าใจและการเคารพซึ่งกันและกัน

ท้ายที่สุด การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนควรสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย ทั้งนักท่องเที่ยวที่ได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดี และชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของตน นี่คือความท้าทายที่ปายและแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในยุคที่โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าที่เคย


ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik