นายกฯ เยือนดาวอส ภารกิจชูศักยภาพไทยบนเวทีโลก
"นายกฯ เยือนดาวอส: จุดเปลี่ยนการลงทุนในไทย บนเวทีเศรษฐกิจโลก"
การเดินทางเยือนเวทีเศรษฐกิจโลกที่เมืองดาวอสของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ครั้งนี้ นับเป็นภารกิจสำคัญในการนำเสนอศักยภาพและโอกาสการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการพบปะหารือกับผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่มองเห็นจุดแข็งของประเทศไทยในหลากหลายมิติ
เริ่มต้นด้วยการหารือกับ "เนสท์เล่" บริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้แสดงความเชื่อมั่นด้วยตัวเลขการลงทุนที่น่าประทับใจกว่า 22,800 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2567 พร้อมประกาศแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมกาแฟ ความน่าสนใจไม่ได้อยู่เพียงแค่การลงทุนในโรงงานผลิตเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการสนับสนุนเกษตรกรไทยในการขยายพื้นที่เพาะปลูกกาแฟ การให้ความรู้ด้านการเพาะปลูก และการรับซื้อผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจรที่จะช่วยยกระดับภาคการเกษตรไทย
การพบปะกับผู้บริหาร "โคคา-โคลา" เป็นอีกหนึ่งการหารือที่น่าจับตามอง บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียว โดยเฉพาะการขับเคลื่อนการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์และการบริหารจัดการน้ำ ประเด็นสำคัญที่มีการหารือคือการติดตามความคืบหน้าของพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ซึ่งบริษัทมีส่วนสำคัญในการผลักดัน นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านน้ำและการส่งเสริม Soft Power ที่บริษัทพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีกับไทย
ก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ปรากฏชัดในการหารือกับ "DP World" โดยเฉพาะการผลักดันโครงการ Land Bridge เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน ซึ่งจะเป็นประตูการค้าสำคัญเชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียและภูมิภาคอาเซียน บริษัทยังมีแผนพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ให้เป็นศูนย์โลจิสติกส์ระดับภูมิภาคแบบ Multi-modal สำหรับการค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีน อินโดจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมทั้งโครงการท่าเทียบเรือชุด B ณ ท่าเรือแหลมฉบัง
ในด้านอุตสาหกรรมยาและการแพทย์ "Bayer" บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและยา ได้ชื่นชมวิสัยทัศน์ของนายกฯ ในการลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พร้อมร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและยา รวมถึงภาคการเกษตร โดยเฉพาะการพัฒนานวัตกรรมใหม่ เช่น ความรู้ด้านเซลล์บำบัด (cell therapy) และ AI ที่จะช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพ
ขณะที่ "AstraZeneca" อีกหนึ่งบริษัทยาระดับโลก ยืนยันความพร้อมในการขยายความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการรับมือกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย "30 บาท รักษาทุกที่" ของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้มากขึ้น
จุดเด่นที่น่าสนใจอีกประการของการเยือนดาวอสครั้งนี้คือการจัดงาน "Thailand Reception" ที่ใช้อาหารไทยเป็นตัวแทนในการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ โดยเฉพาะ "ต้มยำกุ้ง" ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำถึงการพัฒนาภาคเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI หุ่นยนต์ และการเกษตรแม่นยำ เพื่อเพิ่มคุณภาพ ลดขยะ และเพิ่มผลผลิต
การหารือกับศาสตราจารย์ เคล้าส์ ชวาป ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร WEF นำไปสู่โอกาสที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WEF Special Meeting ในปี 2569 และความเป็นไปได้ในการจัด Young Global Leaders' Summit ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของไทยในเวทีโลก
ในด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค การพบปะกับศาสตราจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลบังกลาเทศ นำไปสู่การผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างสองประเทศ โดยตั้งเป้าหมายมูลค่าการลงทุนที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งสองฝ่ายยังมีแนวทางที่สอดคล้องกันในการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้มีบทบาททั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ความสำเร็จของการเยือนดาวอสครั้งนี้ไม่ได้วัดเพียงแค่การเจรจาหรือข้อตกลงที่เกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงการวางรากฐานสำหรับอนาคตของประเทศในหลายมิติ ทั้งการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ศูนย์กลางโลจิสติกส์ แหล่งนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ รวมถึงการใช้ซอฟต์พาวเวอร์เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การแปลงนโยบายและข้อตกลงต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะแรงงานให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การผลักดันโครงการขนาดใหญ่อย่าง Land Bridge ให้เกิดขึ้นจริง และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว เพื่อให้วิสัยทัศน์ "ลงทุนในประเทศไทย ลงทุนในอนาคต" เป็นจริงได้อย่างยั่งยืน
สรุปข่าว