
คนไทยหนี้พุ่งเฉลี่ยกว่า 4 แสนบาทต่อคน ชี้แก้หนี้ต้องเพิ่มรายได้-กระจายโอกาสเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง
ข้อมูลล่าสุดสะท้อนภาพหนี้สินของคนไทยยังน่าห่วง โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนรวมกับหนี้สาธารณะซึ่งเฉลี่ยสูงถึง 400,248 บาทต่อคน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงจากช่วงโควิดที่เคยแตะระดับ 95.5% มาอยู่ที่ 89% ในไตรมาส 3 ปี 2567 แต่ระดับดังกล่าวยังอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
หนี้ครัวเรือนยังพุ่ง หนี้เสียแตะ 1.2 ล้านล้านบาท
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า หนี้ครัวเรือนคงค้างในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้เสีย (Non-Performing Loan: NPL) คาดว่าจะสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีสัดส่วนหนี้เสียรวมกันถึง 23.35% ของสินเชื่อทั้งหมด
รศ.ดร.อนุสรณ์ระบุว่า หากต้องการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีให้มาอยู่ที่ 80% จะต้องเพิ่มรายได้โดยรวมของประเทศอีกอย่างน้อย 1.63 ล้านล้านบาท จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
รายได้ไม่พอใช้ จุดเริ่มต้นของภาวะหนี้เรื้อรัง
กลุ่มประชาชนในวัยทำงานอายุต่ำกว่า 35 ปี มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนราว 25,000–27,000 บาท ซึ่งเกือบเท่ากับรายจ่ายเฉลี่ย ส่งผลให้ไม่มีเงินออม และเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องกู้หนี้เพื่อเสริมสภาพคล่อง การขยับรายได้เฉลี่ยขึ้นไปที่ 30,000–35,000 บาทต่อเดือน จะช่วยให้ครัวเรือนมีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดสินเชื่อตึงตัว การเข้าถึงเงินยากขึ้น
ปรากฏการณ์ “Deleveraging” หรือการลดการก่อหนี้ในภาคครัวเรือนและธุรกิจดำเนินต่อเนื่อง ขณะที่ภาคสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ผู้มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า ยอดเงินให้กู้ยืมคงค้างของภาคเอกชนลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2546 โดยมีสัดส่วนหนี้ธุรกิจต่อจีดีพีล่าสุดอยู่ที่ 86.5% ส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 64.13% คิดเป็นมูลค่า 11.95 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 70% ของจีดีพีในปี 2572
หนี้นอกระบบยังน่ากังวล เสนอแนวทางดึงเข้าสู่ระบบ
หนี้นอกระบบยังคงครองสัดส่วนสูงกว่า 20% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด รศ.ดร.อนุสรณ์เสนอแนวทางแก้ปัญหานี้ด้วยการยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ เพื่อจูงใจให้ผู้ปล่อยกู้และผู้กู้ย้ายเข้าสู่ระบบมากขึ้น พร้อมผลักดันให้มีการแข่งขันผ่านการเปิดเสรี Virtual Bank เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้หลากหลายและเป็นธรรมมากขึ้น
มาตรการซื้อหนี้ไม่ใช่คำตอบระยะยาว
แนวคิดการซื้อหนี้มาบริหารของภาครัฐควรใช้เฉพาะในกรณีที่กลไกตลาดล้มเหลวเท่านั้น และต้องมีมาตรการกำกับไม่ให้เกิดปัญหาทางจริยธรรม (Moral Hazard) เช่น การไม่จ่ายหนี้โดยหวังพึ่งมาตรการพักชำระจากรัฐ
รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า มาตรการพักหนี้หรือยืดชำระหนี้อาจช่วยบรรเทาปัญหาในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาหนี้ที่ต้นตอ การสร้างงานรายได้สูง เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม คือวิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ธุรกิจรายย่อยฟื้นช้า เสี่ยงสะสมหนี้ซ้ำซ้อน
แม้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมฟื้นตัวหลังโควิด แต่ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ยังเผชิญภาวะขาดสภาพคล่อง ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่มีอัตราหนี้ต่อทุนลดลงจาก 2.83 เท่าในปี 2563 เหลือเพียง 0.7 เท่าในปี 2567 อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ยังฟื้นตัวช้าคือธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวตามเทคโนโลยี หรือได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของตลาดโลกและการทุ่มตลาด
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: แก้หนี้ต้องแก้โครงสร้าง
ในภาพรวม รศ.ดร.อนุสรณ์เสนอว่า การบริหารหนี้ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ต้องเชื่อมโยงกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมอย่างเป็นระบบ ได้แก่
• ผลักดันจีดีพีให้เติบโตในระดับ 5-6% ต่อปี
• เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
• ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่
• สนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงจากนวัตกรรม
• ปรับนโยบายการเงินให้เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ
“ระบบการเงินไทยยังไม่มีสัญญาณฟองสบู่ แต่ภาวะตึงตัวของสินเชื่อยังเป็นข้อจำกัด หากนโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้น จะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดแรงกดดันจากภาระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวทิ้งท้าย.

สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik

ยศไกร รัตนบรรเทิง
เบน