จับกระแสหุ้น TIDLOR เปิดจองซื้อวันที่ 2 ยังมาแรงอยู่ไหม??
หุ้น TIDLOR เปิดจองซื้อวันแรกยอดจองซื้อถล่มทลายถึงกับทำให้ระบบจองล่ม -นักวิเคราะห์มองราคายังสูง แต่ยังเห็นแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เพื่อไปลงทุน TIDLOR แลกกับแนวโน้มทำกำไรในอนาคตที่ดีกว่า
หุ้น IPO น้องใหม่ป้ายแดง TIDLOR ที่เปิดจองไปแล้วเมื่อวานนี้เป็นวันแรก ซึ่งกระแสตอบรับนั้นถือว่าดีเกินคาด โดยบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) ได้นำหุ้นเสนอขายนักลงทุนจำนวน 907.42 ล้านหุ้น แบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยบริษัทฯ ไม่เกิน 210,816,700 หุ้น หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไม่เกิน 284,144,300 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Siam Asia Credit Access Pte. Ltd. ไม่เกิน 412,467,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวมกันไม่เกิน 39.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก และอาจจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe หรือ Over-allotment Option) ไม่เกิน 136,114,200 หุ้น หรือไม่เกิน 15 %ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) เปิดเผยว่า การเปิดจองซื้อหุ้น TIDLOR ของนักลงทุนรายย่อยวันแรก (22 เม.ย.64) ผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวแทนจำหน่ายหุ้น ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย และ บล. กรุงศรี (สำหรับลูกค้า บล.กรุงศรี เท่านั้น) พบว่ามีจำนวนรายการและยอดจองซื้อในวันแรกเข้ามาอย่างท่วมท้น ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบรับเกินความคาดหมาย สะท้อนความเชื่อมั่นในผู้นำธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันและหนึ่งในผู้นำธุรกิจนายหน้าประกันภัยสำหรับรายย่อย และด้วยกระแสตอบรับอย่างคึกคัก หากมีนักลงทุนรายย่อยทำรายการจองซื้อหุ้นเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนส่งผลให้การจัดสรรหุ้นขั้นต่ำในรอบแรกด้วยวิธี Small Lot First ไม่สามารถจัดสรรให้ได้ครบทุกราย ระบบ SETTRADE จะดำเนินการจัดสรรด้วยวิธีการสุ่มรายชื่อ ซึ่งผู้ได้รับสิทธิจะได้รับจัดสรรรายละ 1,000 หุ้นเท่านั้น จนกว่าจะครบจำนวนหุ้นเบื้องต้นที่เสนอขายให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยที่จองซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้นจำนวนประมาณ 46.5 ล้านหุ้น โดยทุกคนมีโอกาสเท่ากัน ไม่ว่าจะทำรายการจองซื้อก่อนหรือหลังก็ตาม
อย่างไรก็ตามจากกระแสของหุ้น TIDLOR ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีเสียงบ่นจากนักลงทุนบางส่วน ว่าการจองหุ้นผ่านออนไลน์บางธนาคารเกิดความขัดข้องของระบบ โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่เริ่มเปิดจองไม่นาน พบว่าโมบายแบงกิ้ง KMA ของธนาคารกรุงศรี และเว็บไซต์ K-My Invest ของธนาคารกสิกรไทย ระบบเกิดข้อผิดพลาดหรือระบบล่ม เนื่องจากมีผู้ทำรายการเป็นจำนวนมาก โดยแจ้งว่ากรุณารอสักครู่ระบบจะนำท่านไปสู่หน้าจองซื้อโดยอัตโนมัติ โดยอย่าปิดหน้าเบราว์เซอร์ หรือทำการรีเฟรชหน้าเพจด้วยตนเอง
กรณีดังกล่าวทำให้ นายปิยะพงศ์ แสงภัทราชัย ผู้บริหารกลุ่มงานผลิตภัณฑ์ธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ได้ออกมาปฏิเสธว่า ระบบไม่ได้ล่มหรือหน่วง เพราะธนาคารดีไซน์รูปแบบการจองซื้อ ให้นักลงทุนเข้ามาทยอยทำรายการให้เสร็จก่อน ดังนั้น นักลงทุนเข้ามาทีหลังจะถูกกันออกไปกช่องเพื่อรอคิว และจะเห็นว่า นักลงทุนสามารถจองซื้อได้ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่หากเปิดให้ทุกคนเข้ามาพร้อมกันระบบอาจล่มได้ ไม่ต้องรีบจองซื้อ สามารถจองซื้อได้ถึง 26 เม.ย. เวลา 16.00 น. ซึ่งการจองซื้อหุ้น TIDLOR ตั้งแต่เปิดจอง 9.00 น.วานนี้ ( 22 เม.ย.) มีนักลงทุนเข้ามารอจองซื้อ IPO กว่า 1 หมื่นราย
ด้านนักวิเคราะห์ มองว่าราคาหุ้น TIDLOR ถือว่ามีราคาสูง โดยนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า ยอดจองซื้อจำนวนมากเช่นนี้ แต่จัดสรรหุ้นรายย่อยเพียง 46.5 ล้านหุ้น คาดรายย่อยอาจได้ขั้นต่ำแค่รายละ 1,000 หุ้นเท่านั้นหรือบางรายอาจไม่ได้ ขณะเดียวกันวานนี้ (22 เม.ย.) ยังเห็นแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ที่ราคาปรับตัวขึ้นก่อนเปิดจอง TIDLOR อย่าง SAWAD BFIT และ MTC สาเหตุจากนักลงทุนเริ่มปรับลดลงน้ำหนักหลังเก็งกำไรหุ้นกลุ่มนี้ไปก่อนหน้าแล้วและนำเงินไปลงทุน TIDLOR แม้ราคาจะสูงกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกัน แต่ก็แลกมากับแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าในอนาคตด้วยกำไรต่อสาขาที่สูงกว่าในตลาด เราคาดการณ์กำไรสุทธิ TIDLOR เติบโตดีในปี 2564ที่ 2,864 ล้านบาท P/E ที่ 27.2 เท่า และในปี 2565 ที่3,592 ล้านบาท P/E 22.8 เท่า จากในปี 2563 ที่ 2,416 ล้านบาท P/E 30.7 เท่า
สำหรับธุรกิจหลักของ TIDLOR หรือบริษัท เงินติดล้อ คือ ผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถแบบครบวงจร ทั้งรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถบรรทุก รถไถ และรถแทรกเตอร์ รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง ผู้ให้บริการนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิตที่หลากหลาย เช่น ประกันภัยรถยนต์ พ.ร.บ. ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันโรคมะเร็ง และประกันโควิด ซึ่งวางเป้าหมายไว้ว่าจะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อโดยรวม 15-20% ต่อปี พร้อมเพิ่มรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย 13% ของรายได้รวม จากสิ้นปี 63 มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย 7.7% และตั้งเป้าหมายการเติบโต 40% ต่อปี ขณะเดียวกันจะเพิ่มสาขาใหม่ 500 แห่งในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีสาขา 1,076 แห่ง อย่างไรก็ตาม ปี 63 ที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยเงินกู้ 71.30% ค่าธรรมเนียมและบริการ 17% ที่เหลือเป็นรายได้ในส่วนดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อ
ทั้งนี้ หากมองผลประกอบการย้อนหลังในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีรายได้และกำไรเติบโตทุกปี โดยปี 61 มีรายได้รวม 7,569.4 ล้านบาทมีกำไรสุทธิ 1,306.2 ล้านบาท ปี 62 มีรายได้รวม 9,457.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,201.7 ล้านบาท และปี 63 มีรายได้10,558.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,416.1 ล้านบาท โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีของกำไรสุทธิอยู่ 36 % ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปขยายธุรกิจ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนหนี้สิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างเงินทุน
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับคู่แข่ง อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) ของ TIDOR อยู่ที่ประมาณ 32-35 เท่า ขณะที่ SAWAD อยูที่ 25 เท่า MTC อยู่ที่ 26.63 เท่า ถือว่าราคาหุ้น TIDOR ค่อนข้างแพง แต่ทั้ง 3 บริษัทมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน โดยเงินติดล้อเป็นผู้นำตลาดจำนำทะเบียนรถยนต์ และจำนำทะเบียนรถบรรทุก ขณะที่ MTC โดดเด่นพอร์ตจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ใหญ่สุด ส่วน SAWAD พอร์ตจำนำโฉนดที่ดินมากสุด
นอกจากนี้หากดูอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) พบว่า SAWAD สูงสุดรองลงมาเป็น TIDLOR และ MTC ต่ำสุด ขณะเดียวกันการที่ TIDOR เป็นบริษัทลูกของธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รับการจัดอันดับจากทริสเรทติ้งอยู่ที่ A- ซึ่งสูงกว่า MTC และ SAWAD ที่อยู่ BBB+ ซึ่งช่วยให้ต้นทุนทางการเงิน(Funding Cost) ถูกหากมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้