"กี่ชีวิต ถึงพอ?" ไฟไหม้รถบัสซ้ำรอย ถอดบทเรียน สู่ระบบ "ปลอดภัย"
รถบัสนักเรียนไฟไหม้หน้าเซียร์รังสิต เด็กเสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก สะท้อนปัญหาความปลอดภัยเชิงระบบ ผู้เชี่ยวชาญชี้ต้องแก้ปัญหาแบบองค์รวม เพิ่มงบประมาณ เข้มงวดมาตรฐาน ใช้เทคโนโลยี ร่วมสร้างถนนปลอดภัยเพื่อเด็กไทย
วันที่ 1 ตุลาคม 2567 จะถูกจารึกไว้เป็นวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการการศึกษาไทย เมื่อรถบัสนำนักเรียนจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรงบริเวณหน้าเซียร์รังสิต ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้มีนักเรียนเสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก จากจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 44 คน ประกอบด้วยนักเรียน 38 คนและครู 6 คน เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ปกครอง ครู และสังคมไทยอย่างมาก ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องในระบบความปลอดภัยของการเดินทางสำหรับนักเรียน และความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถโดยสารที่ใช้ในการทัศนศึกษาของสถานศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
โศกนาฏกรรมซ้ำรอย รถนักเรียน บทเรียนที่ต้องจดจำ
นับเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับรถนักเรียน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นหลายครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น:
1. วันที่ 11 สิงหาคม 2558 รถปิกอัพรับจ้างรับส่งนักเรียนในอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เสียหลักลงข้างทางชนต้นไม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน
2. วันที่ 14 มกราคม 2558 รถตู้รับส่งนักเรียนชนประสานงากับรถกระบะในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 14 ราย
3. วันที่ 22 มกราคม 2558 รถทัวร์ทัศนศึกษาของโรงเรียนในจังหวัดปัตตานีพลิกคว่ำในจังหวัดสงขลา มีผู้บาดเจ็บ 7 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 คน
4. วันที่ 1 มีนาคม 2567 รถบัสพานักเรียนจากโรงเรียนบ้านโนนโพธิ์ จังหวัดชัยภูมิ ชนท้ายรถบรรทุกอ้อยในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 47 ราย
5. วันที่ 4 มกราคม 2567 รถบัสนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร ชนกันเองและชนรถกระบะในจังหวัดปทุมธานี มีผู้บาดเจ็บ 25 ราย
เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียนราคาแพงที่สังคมไทยต้องเรียนรู้และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่น่าเสียดายที่ยังคงมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
การถอดบทเรียนจากเหตุการณ์เหล่านี้ เผยให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรม นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน ชี้ให้เห็นว่าการมองปัญหาเพียงแค่ที่ตัวคนขับนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด ทั้งสภาพรถ พฤติกรรมผู้ขับขี่ และสภาพแวดล้อมบนท้องถนน
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การออกแบบรถโดยสารที่ไม่เอื้อต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยเฉพาะเด็กเล็ก เช่น การติดตั้งประตูฉุกเฉินในตำแหน่งที่เข้าถึงยาก นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ บนรถ และความสามารถของผู้โดยสารในการใช้งานอุปกรณ์เหล่านั้นยามฉุกเฉิน
อีกประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามคือ การขาดการวางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่มีเด็กเล็กเป็นผู้โดยสารจำนวนมาก การเตรียมความพร้อมและฝึกซ้อมแผนอพยพจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ
21.95% สูญเสียที่ไม่อาจยอมรับ! ปกป้องเด็กไทยจากอุบัติเหตุ
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของปัญหานี้ โดยพบว่าในปี 2567 มีแนวโน้มผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีสัดส่วนสูงถึง 21.95% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอย นายนิกร จำนง ประธานมูลนิธิประชาปลอดภัย และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการปรับเพิ่มงบประมาณ การเข้มงวดมาตรการความปลอดภัย การเพิ่มระบบติดตาม และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมในการเข้มงวดการตรวจสภาพรถ การอบรมและควบคุมคนขับ การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบ GPS และกล้องวงจรปิดในรถรับส่งนักเรียน
ถึงเวลาเปลี่ยน! รถนักเรียนต้องปลอดภัย
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องเร่งออกนโยบายและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาคเอกชนที่ต้องยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สถานศึกษาที่ต้องให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้ให้บริการรถโดยสารที่มีมาตรฐานสูง รวมถึงผู้ปกครองและชุมชนที่ต้องมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและสนับสนุนมาตรการความปลอดภัย
ท้ายที่สุด การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องเริ่มตั้งแต่การปลูกฝังจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับเด็กและเยาวชน ไปจนถึงการสร้างความตระหนักในหมู่ผู้ใหญ่ทุกคน การสูญเสียชีวิตของเด็กและเยาวชนจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ทั้งในแง่ของทรัพยากรมนุษย์และผลกระทบทางจิตใจต่อครอบครัวและสังคม
ความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างและควบคุมได้ด้วยความร่วมมือของทุกคนในสังคม หวังว่าบทเรียนอันเจ็บปวดครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชนไทยอย่างแท้จริง และไม่ต้องสูญเสียชีวิตอันมีค่าอีกต่อไป
ภาพ Freepik / ต้น คนข่าวปราการ
เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN
อ้างอิง ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC / มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค / สสส.
ข่าวแนะนำ