ปรากฎการณ์ "คนปทุมฯ" ไม่ไปเลือกตั้ง สัญญาณอันตรายประชาธิปไตยท้องถิ่น
ปรากฏการณ์ "คนปทุมฯ" ละเลยการเลือกตั้ง: สัญญาณอันตรายต่อประชาธิปไตยท้องถิ่น
"ปทุมธานีเหงา" เมื่อคนละเลยการเลือกตั้ง: สัญญาณอันตรายประชาธิปไตยท้องถิ่น
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี รอบสอง เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2567 ได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าวิตกให้กับวงการการเมืองท้องถิ่น เมื่อตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ลดลงอย่างน่าตกใจจากการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยมีเพียง 357,695 คน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 953,302 คน คิดเป็นเพียง 37.5% เท่านั้น ลดลงจากครั้งก่อนที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ถึง 45%
การลดลงของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและการขาดความสนใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่อาจเป็นสัญญาณอันตรายของประชาธิปไตยท้องถิ่นที่กำลังอ่อนแอลง
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ปรากฏว่า "บิ๊กแจ๊ส" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ยังคงรักษาคะแนนนำที่ 187,975 คะแนน ตามมาด้วย "ลุงชาญ" นายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับคะแนน 120,007 คะแนน ในขณะที่ นายนพดล ลัดดาแย้ม และนายอธิวัฒน์ สอนเนย ตามมาห่างๆ ด้วยคะแนน 9,736 และ 7,675 คะแนนตามลำดับ แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะชี้ชัด แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การจัดการเลือกตั้งซ้ำภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายและไม่เห็นความสำคัญของการออกมาใช้สิทธิ์ การเลือกตั้งที่ถี่เกินไปอาจทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการเลือกตั้งไม่มีความหมาย และไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้
ปรากฏการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับชาติในอนาคต หากไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การละเลยการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับท้องถิ่นอาจนำไปสู่การขาดความสนใจในประเด็นสำคัญระดับประเทศ และทำให้ระบบประชาธิปไตยโดยรวมอ่อนแอลง
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ มีแนวทางอยู่หลายประการ เช่น การเร่งสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้ง การส่งเสริมการให้ความรู้และการมีส่วนร่วมทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงกระบวนการคัดกรองผู้สมัครเพื่อลดปัญหาการเลือกตั้งซ้ำ และการพัฒนากลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลในระดับท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ท้ายที่สุด "โรคเบื่อการเมือง" ที่กำลังระบาดในปทุมธานีนี้ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ในการทบทวนบทบาทและวิธีการทำงานของตน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาจากประชาชน การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประชาธิปไตย และสร้างความเข้มแข็งให้กับการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติอย่างยั่งยืน ก่อนที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับวิกฤตศรัทธาทางการเมืองครั้งใหญ่ในอนาคต
ภาพ Freepik
ข่าวแนะนำ