TNN มาตรการจับคู่ซิมและบัญชี: สกัดบัญชีม้าได้จริงหรือ?

TNN

TNN Exclusive

มาตรการจับคู่ซิมและบัญชี: สกัดบัญชีม้าได้จริงหรือ?

มาตรการจับคู่ซิมและบัญชี: สกัดบัญชีม้าได้จริงหรือ?

บทความนี้จะอธิบายถึง ช่องทางที่มิจฉาชีพอาจใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบบัญชีม้า หลังวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 พร้อมคำแนะนำในการป้องกันตนเองจากกลโกงเหล่านี้

27 พฤษภาคม 2567 เป็นกำหนดการที่ภาครัฐบังคับใช้มาตรการใหม่เพื่อป้องกันปัญหาบัญชีม้าและซิมผี โดยกำหนดให้ชื่อบัญชีธนาคารที่ผูกกับโมบายแบงก์กิ้ง ต้องตรงกับชื่อที่จดทะเบียนซิมโทรศัพท์เบอร์นั้นๆ มิเช่นนั้นจะถูกระงับการใช้งานออนไลน์แบงก์กิ้งบนโทรศัพท์ 


มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการนำซิมและบัญชีของบุคคลอื่นไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย แต่หลายฝ่ายก็มีข้อกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด


เบื้องหลัง "บัญชีม้า": เครื่องมือของเหล่ามิจฉาชีพ


ก่อนจะลงลึกถึงมาตรการใหม่ เรามาทำความรู้จัก "บัญชีม้า" กันก่อน บัญชีม้าคือบัญชีธนาคารที่ถูกเปิดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน การหลอกลวง หรือการพนันออนไลน์ โดยเจ้าของบัญชีตัวจริงมักไม่รู้เห็น หรือถูกหลอกลวงให้เปิดบัญชีเหล่านี้


"ซิมผี" ตัวช่วยสำคัญของบัญชีม้า


"ซิมผี" คือซิมโทรศัพท์ที่ไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง หรือลงทะเบียนในชื่อของบุคคลอื่น มิจฉาชีพมักใช้ซิมผี ในการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีม้า และใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ เพื่อปกปิดตัวตนและหลีกเลี่ยงการติดตามของเจ้าหน้าที่ 


ความกังวลต่อผลกระทบกับประชาชน


อีกด้านหนึ่ง มาตรการจับคู่ชื่อซิม-บัญชีนี้ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้เช่นกัน เพราะยังมีบางกลุ่มที่ใช้โทรศัพท์และบัญชีคนละชื่อด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ผู้สูงอายุใช้เบอร์ลูกหลาน ผู้พิการใช้เบอร์ผู้ดูแล หรือบางคนที่สมัครรับสิทธิจากโครงการรัฐด้วยเบอร์ของบุคคลอื่น เป็นต้น คนเหล่านี้อาจไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ทันเวลา จนเสี่ยงถูกระงับบัญชีและเกิดความเสียหายได้ ประเด็นนี้ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีมาตรการผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษ


มาตรการใหม่: ความหวังในการแก้ปัญหา หรือแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ?


มาตรการใหม่ของ กสทช. อาจดูเหมือนเป็นความหวังในการแก้ปัญหาบัญชีม้า แต่ในความเป็นจริง อาจเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะมิจฉาชีพมักปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และอาจหาวิธีหลบเลี่ยงมาตรการนี้ได้หลายวิธี เช่น 


● การซื้อขายบัญชีพร้อมโทรศัพท์และซิม

มิจฉาชีพอาจหันมาขายบัญชีธนาคารที่ผูกมากับโทรศัพท์และซิมการ์ดที่ลงทะเบียนในชื่อเดียวกัน เพื่อให้ข้อมูลตรงกันตามที่ กสทช. กำหนด ซึ่งจะทำให้ยากต่อการตรวจสอบว่าบัญชีนั้นเป็นของมิจฉาชีพหรือไม่

● การใช้บัญชีคนรู้จัก

มิจฉาชีพอาจใช้บัญชีธนาคารของคนรู้จักหรือญาติพี่น้องที่หลอกลวงหรือสมัครใจให้ใช้ ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ

● การใช้บัญชีต่างประเทศ

มิจฉาชีพอาจหันไปใช้บัญชีธนาคารในต่างประเทศที่อยู่นอกเหนืออำนาจของ กสทช.

● การใช้บัญชีม้าหลายชั้น

มิจฉาชีพอาจใช้กลวิธีโอนเงินผ่านบัญชีม้าหลายบัญชีต่อกันเป็นทอด ๆ โดยอาจมีบัญชีคนทั่วไปที่ไม่รู้ตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะทำให้การติดตามเส้นทางการเงินทำได้ยากขึ้น

● การใช้ช่องทางการโอนเงินอื่น

มิจฉาชีพอาจเปลี่ยนไปใช้ช่องทางที่ไม่ต้องผูกกับบัญชีธนาคาร เช่น การโอนเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี หรือ e-wallet ที่ไม่จำเป็นต้องระบุตัวตนที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการติดตามและตรวจสอบ

● การใช้ Deepfake

มิจฉาชีพอาจปลอมแปลงข้อมูลส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยี Deepfake เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ

● การฟอกเงินผ่านธุรกิจ

มิจฉาชีพอาจนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงไปฟอกผ่านธุรกิจต่างๆ เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบที่มาของเงิน


แนวทางเสริมป้องกันบัญชีม้า


แม้การจับคู่ชื่อซิมและบัญชีจะช่วยป้องกันบัญชีม้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทางออกที่สมบูรณ์ เพราะมิจฉาชีพอาจพัฒนาวิธีหลบเลี่ยงใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรมีมาตรการเสริมอื่นๆด้วย เช่น การจำกัดจำนวนบัญชีที่จะเปิดต่อคน (แม้อาจไม่เป็นที่ยอมรับของธนาคาร) หรือการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้นกับขบวนการค้าบัญชีม้า พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับธุรกรรมอันตรายให้ทันสมัยอยู่เสมอ และสำคัญที่สุดคือการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนถึงโทษของการขายบัญชีและวิธีป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวง


บทสรุป

การคาดการณ์ถึงช่องทางที่มิจฉาชีพอาจใช้เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการจับคู่ซิม-บัญชี ทั้งการซื้อขายบัญชีพร้อมซิม การใช้บัญชีคนรู้จัก การใช้บัญชีต่างประเทศ การสร้างบัญชีม้าหลายชั้น การเปลี่ยนช่องทางโอนเงิน การใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงข้อมูล หรือการฟอกเงินผ่านธุรกิจ ล้วนชี้ให้เห็นว่าปัญหาบัญชีม้ามีความซับซ้อนและท้าทายต่อการแก้ไข


มาตรการใหม่ของ กสทช. แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอที่จะอุดช่องโหว่ได้ทั้งหมด เพราะในขณะที่ภาครัฐพยายามออกกฎระเบียบเพื่อควบคุม ฝั่งมิจฉาชีพก็พร้อมจะปรับตัวเพื่อหาทางหลบเลี่ยงอยู่เสมอ


บทความนี้เป็นการชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้กับอาชญากรรมการเงินในยุคดิจิทัลนั้นเป็นเรื่องท้าทาย กฎหมายหรือมาตรการใดๆ เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งสำคัญคือการมองไปข้างหน้า คาดการณ์ความเสี่ยงและปิดช่องโหว่ล่วงหน้า พร้อมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการป้องกันและปราบปรามในระยะยาว เพื่อให้ระบบการเงินของประเทศมีเสถียรภาพและปลอดภัยอย่างแท้จริง


ภาพ Getty Images  

เรียบเรียง : บรรณาธิการ TNN ยศไกร รัตนบรรเทิง 

ข่าวแนะนำ