TNN เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง

TNN

TNN Exclusive

เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง

เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง

การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของนางแคทเธอรีน นักธุรกิจชาวฝรั่งเศส ในการยกมรดกมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทให้กับ แม่บ้านคนสนิท ก่อนจะจบชีวิตลงอย่างปริศนา ได้จุดประเด็นให้สังคมหันมาตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ พร้อมกับการตีความเจตนารมณ์ที่แท้จริงผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งไม่เพียงทิ้งคำถามถึงสาเหตุการตายเอาไว้ แต่ยังเผยให้เห็นมุมมองเรื่องความสุขที่แท้จริงของชีวิต ว่าอาจไม่ได้ขึ้นกับเงินทอง แต่อยู่ที่การมีคนคอยรักและเข้าใจเราต่างหาก

เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง


—----------------------------------------------------------------


การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของนางแคทเทอร์รีน นักธุรกิจชาวฝรั่งเศสวัย 59 ปี ในการยกทรัพย์สินมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทให้กับป้าติ๋ม แม่บ้านชาวไทยของเธอ ก่อนที่จะจบชีวิตลง กลางบ้านพักหรูบนเกาะสมุย ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ ทั้งคาดเดาและตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมเศรษฐีนีต่างชาติถึงตัดสินใจมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูกจ้างอย่างป้าติ๋ม ไม่ยกให้ลูกหลานหรือญาติพี่น้องของตัวเอง  


พินัยกรรมที่ เขียนขึ้นก่อนเสียชีวิตนั้น ได้ถูกพิมพ์เป็นเอกสารจำนวน 4 ใบ โดยจัดทำทั้งฉบับภาษาฝรั่งเศสและฉบับแปลภาษาไทย เพื่อมอบให้กับป้าติ๋ม ผู้รับมรดก เอกสารดังกล่าวถูกใส่ไว้ในซองจดหมาย และตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน 


ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง คู่นี้ ลึกซึ้งแน่นแฟ้นมากเพียงใดกัน ถึงขนาดว่ามอบทรัพย์สินทั้งชีวิตให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดแผกไปจากความคิดความเชื่อเดิมๆของคนในสังคมไทย


อีกประเด็นที่ยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจ คือ คดีความเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนางแคทเทอร์รีน ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง  โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยความเครียด 


จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ถูกปรับให้หันไปทางอื่น คาดว่าเป็นฝีมือของนางแคทเทอร์รีนเอง เพื่อไม่ให้มีภาพเหตุการณ์ที่เธอใช้ปืนยิงตัวเองเอาไว้ รวมถึงพบว่าเธอได้เคลียร์จัดการเรื่องทรัพย์สินต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านั้น แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า การฆ่าตัวตายดังกล่าวเกิดจากอะไรกันแน่ สาเหตุที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนา จึงทำให้การเสียชีวิตของนางแคทเทอร์รีนยังคงเป็นคดีความที่ต้องสืบสวนกันต่อไป 


ยกมรดกให้แม่บ้าน : สะท้อนแง่มุมกฎหมาย สิทธิทายาท และความสัมพันธ์


การทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แม่บ้านที่ไม่ใช่ญาติ แม้จะเป็นเจตนารมณ์ครั้งสุดท้ายของเจ้าของทรัพย์สิน แต่ในทางกฎหมายก็มีขั้นตอนและรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งในภายหลัง


ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย การทำพินัยกรรมมี 5 แบบด้วยกัน คือ

1. พินัยกรรมแบบธรรมดา โดยผู้ทำเขียนด้วยลายมือตัวเอง ลงวันที่ เดือน ปี และลงลายมือชื่อ 

2. พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ คล้ายแบบธรรมดา แต่ต้องเขียนด้วยลายมือทั้งฉบับ

3. พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ซึ่งจะให้น้ำหนักทางกฎหมายมากกว่า

4. พินัยกรรมแบบเอกสารลับ เขียนเองหรือให้ผู้อื่นเขียน แล้วผนึกซองยื่นต่อผู้มีอำนาจ

5. พินัยกรรมด้วยวาจา กระทำต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ในกรณีที่ใกล้ความตาย


แต่ไม่ว่าจะทำพินัยกรรมแบบใด ต้องคำนึงถึงสิทธิของทายาทโดยธรรมเสมอ ซึ่งได้แก่ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา และคู่สมรส กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรมเหล่านี้ต้องได้รับส่วนแบ่งจากมรดกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสองของมรดก  


ยกตัวอย่างเช่น นายเอมีทรัพย์สินมูลค่า 100 ล้านบาท ก่อนเสียชีวิตทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แม่บ้านชื่อนางบี ทว่านายเอมีภรรยาและบุตร 1 คน ดังนั้น ภรรยาและบุตรของนายเอในฐานะทายาทโดยธรรม มีสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งจากมรดกรวมกันไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท 


นางบีแม่บ้าน ผู้รับพินัยกรรม จะได้รับมรดกส่วนที่เหลือคือ 50 ล้านบาท ไม่ใช่ 100 ล้านบาทตามที่ระบุในพินัยกรรม เพราะต้องแบ่งให้ภรรยาและบุตรของเจ้ามรดกไปครึ่งหนึ่งก่อน ตามสิทธิในการเรียกร้อง แต่หากนายเอไม่มีทายาทโดยธรรม นางบีก็จะได้รับมรดกทั้ง 100 ล้านเต็มจำนวน


หากภรรยา และ บุตรของ นายเอ ไม่พอใจ การทำพินัยกรรม ก็มีสิทธิคัดค้านและเรียกร้องส่วนแบ่งตามกฎหมายได้ โดยยื่นคำร้องต่อศาลที่พินัยกรรมได้รับการเปิดอ่าน ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตาย มิฉะนั้นจะหมดสิทธิเรียกร้อง


เมื่อเจตนารมณ์สุดท้าย ขัดแย้งกับสิทธิ์ตามกฎหมาย


อย่างไรก็ตาม บางครั้งการทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นทั้งหมด อาจเป็นความประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าของทรัพย์สิน ซึ่งทำให้ทายาทโดยธรรมรู้สึกไม่เป็นธรรม จึงมักมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นอยู่เสมอ 

เพื่อลดปัญหา ก่อนตัดสินใจทำพินัยกรรมจึงควรพูดคุยกับทายาทให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริง และหาทางเยียวยาทายาทโดยธรรมด้วยวิธีอื่นๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น การให้ทรัพย์สินบางส่วนไปก่อนเพื่อชดเชยกับส่วนที่ขาดไป การช่วยเหลือให้มีอาชีพมีงานทำ เป็นต้น 


การทำพินัยกรรมจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ มีรายละเอียดและขั้นตอนทางกฎหมายมากมาย โดยเฉพาะหากมีทายาทโดยธรรมที่จะได้รับผลกระทบ เจ้าของทรัพย์สินที่ประสงค์จะยกมรดกให้ผู้อื่น จึงต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและผลกระทบต่างๆอย่างรอบด้าน จัดการความเรียบร้อยทั้งทางด้านเอกสารและด้านจิตใจภายในครอบครัวให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งภายหลังการจากไป


ประเด็นซับซ้อนในคดีมรดกนางแคทเธอรีน - มุมมองทางกฎหมายและข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ



ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์  ได้ให้สัมภาษณ์ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของคดีนี้ ระบุว่า คดีนี้มีเงื่อนงำที่น่าสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กล้องวงจรปิดถูกปิดไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นจุดสำคัญที่นำไปสู่การสืบสวนเชิงลึกต่อไป อย่างไรก็ตาม ทนายเดชาย้ำว่า หากพิสูจน์ได้ว่านางแคทเธอรีนทำพินัยกรรมด้วยความสมัครใจจริง พินัยกรรมฉบับนี้ก็จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมรดก ทนายเดชาแสดงความเห็นว่า กรณีที่เจ้าของมรดกยกทรัพย์สินให้ผู้อื่นแล้วยิงตัวตายในทันทีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยพบเห็นในวงการกฎหมาย ซึ่งโดยปกติแล้ว การยกมรดกให้ผู้อื่นมักไม่ตามมาด้วยการฆ่าตัวตายอย่างรวดเร็วเช่นนี้


ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การที่นางแคทเธอรีนเลือกที่จะไม่ยกมรดกให้กับญาติที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ ซึ่งทนายเดชาอธิบายว่า ตามกฎหมายแล้ว เจ้าของมรดกมีสิทธิ์ที่จะยกทรัพย์สินของตนให้กับบุคคลใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากญาติของผู้เสียชีวิตมีความสงสัยในสาเหตุการตาย พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการฟ้องร้องในกรณีที่สงสัยว่าอาจเป็นพินัยกรรมปลอม


ทนายเดชา ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำพินัยกรรม โดยอ้างอิงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 ซึ่งกำหนดเงื่อนไขสำหรับพินัยกรรมแบบธรรมดา ที่ต้องทำเป็นหนังสือ ลงวันเดือนปีที่ทำ และต้องมีพยานอย่างน้อย 2 คนลงลายมือชื่อรับรอง หากไม่ครบถ้วน พินัยกรรมอาจตกเป็นโมฆะ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1978/2537



เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง


นอกจากนี้ ทนายเดชายังกล่าวถึงพินัยกรรมที่ผู้ทำเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับ ตามมาตรา 1657 ซึ่งต้องเขียนข้อความทั้งหมด รวมถึงวันเดือนปีและลายมือชื่อด้วยตนเองทั้งหมด จึงจะมีผลสมบูรณ์ โดยอ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2102/2551


ท้ายที่สุด ทนายเดชาแนะนำว่า การทำพินัยกรรมที่อำเภอตามมาตรา 1658 อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ปกครองและปลัดอำเภอเป็นพยานในการทำพินัยกรรม ซึ่งจะช่วยลดข้อโต้แย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต



'เงินทอง ไม่ใช่คำตอบของ 'ความสุข'


มรดกมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทที่นางแคทเธอรีน นักธุรกิจสาวชาวฝรั่งเศส ทิ้งไว้ให้ป้าติ๋ม แม่บ้านคนสนิท ก่อนจะจบชีวิตลง ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่มีค่ามหาศาล แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างเจ้านายและลูกน้องคู่นี้ ที่อาจเหนือกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของนางแคทเธอรีนสะท้อนให้เห็นมุมมองเรื่องความสุขที่แท้จริง ซึ่งอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเงินมากแค่ไหน แต่อยู่ที่การมีคนคอยรักและเข้าใจ อยู่เคียงข้างกันต่างหาก


ด้วยเหตุนี้ คดีของนางแคทเธอรีน จึงเป็นมากกว่าคดีฆ่าตัวตายทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆของชีวิต ความสัมพันธ์ ความสุข รวมถึงกฎหมายเกี่ยวกับการทำพินัยกรรมและมรดก ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจและควรค่าแก่การเรียนรู้ ขณะเดียวกันคดีนี้ก็ยังคงเป็นที่จับตามองของสังคม โดยรอการสืบสวนและติดตามความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ต่อไป ว่าจะคลี่คลายลงเอยอย่างไรในท้ายที่สุด





-----------------------------------------------

อ้างอิง 1  

คำพิพากษาฎีกาที่ 2102/2551 วินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1657 โดยศาลฎีกาวางหลักไว้ว่า 


การทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับนั้น ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับ ทั้งข้อความ วันเดือนปี และลงลายมือชื่อของตนเอง จึงจะถือว่าเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย 


หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้เขียนด้วยตนเอง เช่น ให้ผู้อื่นเขียนแทนบางส่วน หรือใช้การพิมพ์ดีดแทนการเขียน กรณีเช่นนี้จะไม่ถือว่าเป็นพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ 


ดังนั้น หากมีการเขียนพินัยกรรมโดยบุคคลอื่น หรือมีการพิมพ์ดีดข้อความ จะต้องมีพยานรู้เห็นในการทำพินัยกรรมอย่างน้อย 2 คน มิฉะนั้นแล้ว พินัยกรรมนั้นอาจถูกตีความว่าเป็นพินัยกรรมแบบธรรมดา ซึ่งมีเงื่อนไขตามมาตรา 1656 ที่ต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองด้วย มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ


สรุปสาระสำคัญจากคำพิพากษาฎีกานี้ คือ การทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ผู้ทำต้องเขียนเองทั้งหมดทุกส่วน หากให้ผู้อื่นเขียนหรือพิมพ์แทน ต้องมีพยานรู้เห็นอย่างน้อย 2 คน ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด



อ้างอิง 2 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1978/2537 เป็นบรรทัดฐานสำคัญเกี่ยวกับพินัยกรรมแบบธรรมดา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 โดยศาลฎีกาได้วางหลักการตีความกฎหมายเกี่ยวกับเงื่อนไขของพินัยกรรมประเภทนี้ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้


ในการทำพินัยกรรมแบบธรรมดานั้น จะต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเคร่งครัด กล่าวคือ ต้องทำเป็นหนังสือ ลงวันเดือนปีในขณะที่ทำพินัยกรรม และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ในขณะเดียวกัน 


ประเด็นสำคัญ คือ การลงลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมต่อหน้าพยานทั้งสองพร้อมกัน หมายความว่า ขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อนั้น จะต้องกระทำต่อหน้าพยานทั้งสองคนในคราวเดียวกัน โดยพยานจะต้องเห็นการลงลายมือชื่อนั้นโดยพร้อมเพรียง มิใช่แยกกันคนละคราว ถ้าพยานแต่ละคนแยกกันรับรู้คนละเวลา ย่อมถือว่าพินัยกรรมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย


นอกจากนี้ พยานทั้งสองคนจะต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นด้วย หากพยานทั้งสองมิได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อต่อหน้า ก็จะทำให้พินัยกรรมตกเป็นโมฆะได้เช่นกัน


สรุปใจความสำคัญจากคำพิพากษาฎีกานี้ คือ การทำพินัยกรรมแบบธรรมดา ต้องกระทำตามเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติไว้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการลงลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมต่อหน้าพยานสองคนพร้อมกัน และการลงลายมือชื่อรับรองโดยพยานในขณะนั้น  หากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว จะมีผลทำให้พินัยกรรมขาดความสมบูรณ์ตามกฎหมาย




ภาพ : Getty Images 

เรียบเรียงโดย ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

ข่าวแนะนำ