TNN "สูงวัยล้น" วิกฤตร่วม! เมือง-ธุรกิจ-รัฐ ผนึกกำลัง หาทางรอด?

TNN

TNN Exclusive

"สูงวัยล้น" วิกฤตร่วม! เมือง-ธุรกิจ-รัฐ ผนึกกำลัง หาทางรอด?

สูงวัยล้น วิกฤตร่วม! เมือง-ธุรกิจ-รัฐ ผนึกกำลัง หาทางรอด?

วิกฤตการณ์ผู้สูงอายุล้นประเทศ เมือง-ธุรกิจ-รัฐ ต้องตั้งรับอย่างไรเพื่อให้เห็นทางรอด

ความท้าทายของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ


สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้คาดการณ์ว่าภายในปี 2583 โครงสร้างประชากรไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยจะมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) สูงถึงร้อยละ 32.1 ขณะที่วัยทำงาน (15-59 ปี) ลดลงเหลือร้อยละ 55.1 และวัยเด็ก (แรกเกิด- 14 ปี) ลดลงเหลือร้อยละ 12.8 เนื่องจากการมีอัตราการเกิดที่น้อยลง ประกอบกับการพัฒนาทางการแพทย์ที่เติบโตขึ้นทำให้ประชากรมีอายุยืนยาว นี่คือความท้าทายของการกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย


ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ


การวิจัยพบว่าคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในไทยมีความเปราะบาง จากรูปแบบการอยู่อาศัย 5 รูปแบบ ได้แก่ 1) อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียว 2) อาศัยอยู่กับคู่สมรส 3) อาศัยอยู่กับพ่อ/แม่และคู่สมรส 4) อาศัยอยู่ในครัวเรือนข้ามรุ่น และ 5) อาศัยอยู่กับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญาติ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ


ตามคำนิยามของสหประชาชาติ (UN) ผู้สูงอายุ หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้เกณฑ์ 65 ปีขึ้นไป สำหรับประเทศไทยตาม พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 กำหนดไว้ที่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็น "สังคมผู้สูงอายุ" ที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 มาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว และกำลังจะเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์" ที่มีผู้สูงอายุเกินร้อยละ 20 ในอนาคตอันใกล้



สูงวัยล้น วิกฤตร่วม! เมือง-ธุรกิจ-รัฐ ผนึกกำลัง หาทางรอด?


กรุงเทพฯ เมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกวัย


ทีมข่าว TNN Online มีโอกาสได้พูดคุยกับ นายภาณุมาศ สุขอัมพร หรือพี่นก ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ถึงทิศทางการบริหารเมืองหลวงในวันที่รูปแบบชีวิตคนกำลังจะเปลี่ยนไป

พี่นก กล่าวว่า ทุกวันนี้เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้ผู้คนมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น ขณะที่อัตราการเกิดกลับลดลง นำมาซึ่งปรากฏการณ์สังคมผู้สูงอายุที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาระดับโลก


"เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาในวันนี้ต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นโจทย์ใหญ่ของผู้บริหารกรุงเทพมหานครว่าจะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ และแบ่งเบาภาระของลูกหลานไปพร้อมกัน" พี่นกกล่าว


ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารกรุงเทพมหานครชุดปัจจุบันได้เร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมือง ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างทางเท้า ที่ต้องออกแบบใหม่ตามหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) เพื่อให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม


"เรื่องเล็กๆ พวกนี้ถ้าไม่สำเร็จ เรื่องใหญ่ก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม" พี่นกกล่าวย้ำถึงความสำคัญ


เขาอธิบายต่อว่า ที่ผ่านมาการออกแบบอาคารสถานที่มักคำนึงถึงแต่คนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนปกติวัยหนุ่มสาว แต่กทม.ชุดนี้เริ่มต้นจากการ "คิดแทนคนอื่น" โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการ ว่าพื้นที่แห่งนี้หากมีคนกลุ่มนี้เข้ามาใช้งานด้วย จะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น การทำทางลาดควบคู่กับบันได ก็จะเอื้อต่อการใช้งานของทุกคน แม้กระทั่งคนปกติที่ต้องขนของหนักๆ ก็ยังได้ประโยชน์ไปด้วย


"ผู้ว่าฯ ชัชชาติมักพูดอยู่เสมอว่า คำว่า 'I feel how you feel' หรือการรู้สึกแทนคนอื่นได้ ถือเป็นแกนหลักของนโยบาย และเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาทุกอย่าง เราต้องไม่แค่รับรู้ แต่ต้องเข้าใจความยากลำบากของกันและกันอย่างแท้จริง"


พี่นกทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึง 80,000 - 100,000 คนต่อปี เป้าหมายคือการทำให้ทุกคนออกมาใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างสะดวกสบายไม่แตกต่างจากคนวัยอื่น เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็น "เมืองที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" อย่างแท้จริง



โอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจ


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าความต้องการของผู้สูงอายุที่น่าสนใจแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1) ความต้องการปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต 2) ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต และ 3) ความต้องการสุขภาพกายและใจที่ดี ซึ่งเป็นโอกาสของภาคธุรกิจในการให้บริการ โดยตั้งแต่ปี 2564-2566 มีธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนี้


- ธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของสังคมผู้สูงอายุ ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวน 140,923 ราย ทุน 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 10,676 ราย ทุน 38,431 ล้านบาท ในปี 2564  

- ธุรกิจเกี่ยวกับความมั่นคงและปลอดภัยของผู้สูงอายุ ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวน 4,142 ราย ทุน 253,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 241 ราย ทุน 746 ล้านบาท ในปี 2564

- ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุ ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวน 32,459 ราย ทุน 717,665 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,318 ราย ทุน 6,604 ล้านบาท ในปี 2564


โดยธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่สุด


สูงวัยล้น วิกฤตร่วม! เมือง-ธุรกิจ-รัฐ ผนึกกำลัง หาทางรอด?

การเตรียมการรองรับของภาครัฐ 


ประเทศไทยได้เตรียมรับมือกับการเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างจริงจัง  จากการประกาศใช้พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญที่มุ่งคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ต่อมา รัฐบาลได้ยกระดับความสำคัญของประเด็นนี้ด้วยการกำหนดให้สังคมผู้สูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกำหนดแนวทางการขับเคลื่อน 10 ประการ ครอบคลุมทั้งด้านสวัสดิการ การสร้างงานและรายได้ ระบบสุขภาพ สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร การสร้างความรอบรู้ การปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมผู้สูงอายุ


แนวทางการขับเคลื่อน 10 ประการนี้สะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัยอย่างรอบด้าน โดยมุ่งเน้นทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในปัจจุบันและการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต การสร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ รวมถึงการส่งเสริมการทำงานและสร้างรายได้ เป็นการตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วน ขณะที่การพัฒนาระบบสุขภาพและการปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยเป็นการวางรากฐานระยะยาว นอกจากนี้ การมุ่งเน้นการสร้างความรอบรู้และการพลิกโฉมนวัตกรรมยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการเตรียมพร้อมสังคมไทยสู่การเป็นสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน



------------------------


การดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่ต้องพึ่งพาเงินตราเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะในวัยชรา ที่ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพียงเดือนละ 600-1,000 บาท ที่รัฐจัดสรรให้นั้น ไม่เพียงพอต่อการยังชีพขั้นพื้นฐานเลยด้วยซ้ำ หากผู้สูงอายุขาดรายได้หรือเงินออม ก็จะตกอยู่ในความยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


นอกจากปัญหาทางเศรษฐกิจแล้ว ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยยังต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว เนื่องจากต้องอาศัยอยู่ตามลำพังหรือแยกจากลูกหลาน อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวในสังคมเมือง ที่ต่างคนต่างมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จนไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่ผู้ชรา ความโดดเดี่ยวนี้นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือแม้แต่โรคอัลไซเมอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ


สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือแนวโน้มอัตราการพึ่งพิงที่เพิ่มสูงขึ้น จากการมีผู้สูงอายุจำนวนมากแต่ประชากรวัยทำงานกลับลดลง ย่อมหมายความว่าภาระทางเศรษฐกิจที่แบกรับโดยคนหนุ่มสาวจะยิ่งหนักอึ้งมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลต่อการหดตัวของเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ แต่ยังอาจสั่นคลอนความมั่นคงของระบบสวัสดิการสังคมที่เปราะบางอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า


วิกฤตการณ์สังคมสูงวัยกำลังจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรม หากเราไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม การสร้างที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย การส่งเสริมให้มีงานทำและพึ่งพาตัวเองได้ รวมถึงการปลูกฝังให้สังคมเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ มากกว่าการเป็นภาระที่ต้องคอยดูแล เพราะไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ สักวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องก้าวเข้าสู่วัยชราด้วยกันทั้งสิ้น การเตรียมความพร้อมรับมือกับสังคมสูงวัยอย่างรอบด้านตั้งแต่วันนี้ จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมแรงร่วมใจกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของผู้สูงอายุไทย




ภาพ : Gettyimages
เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN
 


ข่าวแนะนำ