TNN 3 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมฟินเทค (FinTech)

TNN

Tech

3 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมฟินเทค (FinTech)

3 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมฟินเทค (FinTech)

อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเงินหรือ FinTech มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจิดิจิทัล

เทคโนโลยีการเงินหรือฟินเทค (FinTech) เริ่มกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้รับความนิยมมากขึ้นนับตั้งแต่ที่วิกฤตการณ์โควิด-19 ได้มีการแพร่ระบาดทั่วโลก เทคโนโลยีการเงินนี้ได้เข้ามาเป็นตัวช่วยในการแบ่งเบาภาระธุรกรรมการเงิน รวมไปถึงระบบต่าง ๆ ที่ช่วยสามารถจัดการลงทุนได้ บทความนี้ขอนำเสนอ 3 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมฟินเทค (FinTech)

 

1.แมกซ์ เลฟชิน (Max Levchin)


แมกซ์ เลฟชินเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอะเฟิร์ม (Affirm) บริษัททางเทคโนโลยีการเงินสมัยใหม่ ที่ผ่านมาเขาเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Paypal บริษัทชำระเงินยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ต่อมาเขาทำการก่อตั้งบริษัทหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นบริษัททางด้านสื่อและแอปพลิเคชันติดตามการตั้งครรภ์ จนกระทั่งเขาได้กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านจากบริษัท Affirm ซึ่งผลประกอบการของเขาเติบโตขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19  และปัจจุบันบริษัท Affirm ก็ได้เข้าตลาดหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดเป็นมูลค่ามากถึง $2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับจากที่ได้มีการซื้อขายครั้งแรก

 

2.วิลเลี่ยม ฮอคกี้ (William Hockey)


วิลเลี่ยม ฮอคกี้เป็นหนึ่งในผู้สร้างบริษัทเพลด (Plaid) แอปพลิเคชันเทคโนโลยีการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับของบริษัท Robinhood ในช่วงที่ผ่านมาปี 2020 บริษัทเพลดเคยเกือบตกอยู่ในมือของบริษัท Visa ที่ได้มีการประกาศว่า จะทำการซื้อบริษัทแห่งนี้ด้วยเงินมากถึง $5.3 พันล้าน แต่ทางหน่วยงานกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐได้เบรกเรื่องนี้เอาไว้ จึงไม่ได้มีการควบรวมกิจการ หลังจากผ่านไป 3 เดือน สถานการณ์โควิด-19 ได้ดันให้บริษัทเพลดเติบโตกระฉูดจนทำให้บริษัทมีมูลค่ามากถึง $13.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

3.วลาดิเมียร์ เทเนฟ (Vladimir Tenev)


วลาดิเมียร์ เทเนฟ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทโรบินฮู๊ด (Robinhood) บริษัททางด้านการซื้อขายสินทรัพย์ชนิดต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ก่อนที่บริษัทโรบินฮู๊ดมีความยิ่งใหญ่มาถึงทุกวันนี้นั้น บริษัทเองก็เคยประสบปัญหาในเรื่องของปัญหาการใช้แอปพลิเคชันที่ทำให้ผู้ใช้บริการไม่สามารถทำการซื้อขายได้ และจากนั้นบริษัทสามารถพัฒนาระบบรวมไปถึงเพิ่มรายการสินทรัพย์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คริปโทเคอร์เรนซี่หรือตราสารหนี้อื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ามากถึง $19.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

 

ข้อมูลจาก : Forbes.com

ภาพจาก : celebritynetworth.com

ข่าวแนะนำ