ศูนย์จีโนมฯ ชี้ "ฝีดาษลิง" ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์มากกว่าสัมผัสผิว

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผยข้อมูลการติดต่อ "โรคฝีดาษลิง" พบส่วนใหญ่ติดต่อจากการร่วมเพศถึงร้อยละ 98 ที่เหลืออีกร้อยละ 2 คือ การติดเชื้อผ่านการสัมผัสตุ่มหนอง เสื้อผ้า และสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ

วันนี้ (22 ส.ค.65) ศาสตราจารย์เกียรติคุณ วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุถึงช่องทางที่ทำให้ไวรัสโรคฝีดาษลิงเข้าสู่ร่างกายคนในปีนี้ ว่า ไวรัส "ฝีดาษลิง" 2022 ส่วนใหญ่ติดต่อจากการร่วมเพศที่ไม่ปลอดภัย

โดยพบการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ ช่องปาก และ บริเวณทวารหนัก ถึงร้อยละ 98 ที่เหลืออีกร้อยละ 2 คือ การติดเชื้อผ่านการสัมผัสตุ่มหนอง เสื้อผ้า และสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ

ทำให้ WHO และ US CDC ยังไม่จัดอยู่ในกลุ่มไวรัสที่ก่อให้เกิดกามโรค (sexually transmitted infection) เพราะสามารถติดต่อโดยการสัมผัสอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับกิจกรรมการร่วมเพศได้

หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ชี้ว่าการที่ฝีดาษลิงที่แพร่เชื้อมากในกลุ่มชายรักชายจำนวนมาก เกิดจากพฤติกรรมเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการร่วมเพศผ่านทวารหนัก และช่องปาก จะทำให้มีแรงเสียดสีมาก เกิดรอยถลอกมาก จึงทำให้แพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายอีกคนได้

ต่างจากกลุ่มชายรักหญิง ที่ระหว่างการร่วมเพศ จะมีเกิดการถลอกน้อยกว่า การแพร่เชื้อจึงน้อยลง ทำให้ WHO ต้องเตือนกลุ่มชายรักชายว่า ในช่วงนี้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ควรลดคู่นอนให้น้อยลง และหากจะมีเพศสัมพันธ์ ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่าจากสถานการณ์พบผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษลิง แล้วจำนวน 5 ราย เป็นชาวต่างชาติ 2 ราย สัญชาติไทย 3 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากผู้ป่วยยืนยันรายแรก และรายที่สองครบกำหนด 21 วันแล้วจำนวน 40 คน ไม่พบอาการป่วย และได้ตรวจหาเชื้อซ้ำ ไม่พบมีผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม

ทั้งนี้ โรงแรมที่ผู้ป่วยยืนยันไปเข้าพัก หลังจากทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม และเมื่อครบ 11 วัน ได้ตรวจเชื้อฝีดาษลิงอีกครั้ง ผลคือยังสามารถพบสารพันธุกรรมของเชื้อฝีดาษลิงได้ ซึ่งเป็นซากเชื้อที่ยังหลงเหลืออยู่

และจากการคัดกรองเชิงรุก ผู้ป่วยสงสัย จำนวน 58 ราย ผลตรวจยืนยันไม่พบเชื้อฝีดาษลิง โดยจากข้อมูลอาการป่วยของผู้ป่วยสงสัย พบว่าส่วนหนึ่งมีอาการป่วยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์.