สธ.พบโควิด 3 สายพันธุ์ระบาดใต้ เร่งมาตรการคุมโรค-ระดมฉีดวัคซีน
สธ.เผย สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 กทม.-ปริมณฑล แนวโน้มดีขึ้น ผู้ติดเชื้อลดลง สวนทางกับสถานการณ์ติดเชื้อในต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น เบื้องต้นพบ 3 สายพันธุ์ "อัลฟ่า เบต้า เดลต้า" สั่งการมาตรการควบคุมโรคเร่งด่วน และฉีดวัคซีนคุมการระบาด
วันนี้ (7 ต.ค.64) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ปัจจุบันในกรุงเทพฯและปริมณฑลเริ่มลดลง ค่อนข้างที่จะปลอดภัยทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงรวมถึงการฉีดวัคซีนที่ฉีดครอบคลุมประชากรในพื้นที่
ส่วนต่างจังหวัดอาจจะมีเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในชายแดนใต้ที่กำลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องใช้แนวทางมาตรการในการควบคุมโรค การฉีดวัคซีน และความร่วมมือต่างๆเพื่อลดการติดเชื้อไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น หากไม่ดำเนินมาตรการใดๆ และปล่อยไว้อาจจะทำให้สถานการณ์การระบาดสูงขึ้นเหมือนในกรุงเทพฯในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี พบว่า มีโควิด 3 สายพันธุ์ที่แพร่ระบาด คือ สายพันธุ์ เบต้า เป็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อวัคซีน สายพันธุ์อัลฟ่า และ สายพันธุ์เดลต้า ที่แพร่กระจายเร็ว ทำให้เกิดภาวะอันตรายในความรุนแรงของโรคเมื่อติดเชื้อ มาตรการสำคัญในภาคประชาชน คือ มาตรการ Universal Prevention การเข้มตัวเองขั้นสูงสุด
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ทั้งประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ยอมรับในช่วงที่ผ่านมาวัคซีนอาจจะน้อย แต่ขณะนี้ก็จะมีการแจ้งจัดสรรวัคซีนเข้าไปในพื้นที่เพิ่มเติม การรักษาพยาบาลให้ทั่วถึง ส่วนจำนวนเตียงในการรักษายังคงมีเพียงพอรองรับได้ ซึ่งการควบคุมการแพร่ระบาดอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ โดยสัปดาห์หน้าจะมีการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งคาดว่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อลดการแพร่ระบาดไม่ให้สูงไปกว่านี้ได้
ส่วนกรณีที่อาจจะมีประชาชนบางส่วนในพื้นที่ภาคใต้ไม่เข้ารับวัคซีนโควิด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ได้หารือกับผู้นำทางศาสนา หรือตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ ให้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านเพื่อเข้ารับวัคซีนให้ได้มากที่สุด เบื้องต้นทางกระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ภาคใต้กว่าแสนโดส ทั้งซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์
ทั้งนี้ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อขณะนี้มาถึงทางแยกที่จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการหลังจากล็อกดาวน์มา 2 เดือน ซึ่งจะเริ่มพิจารณาแนวทางผ่อนคลายเป็นต่างมากขึ้น ควบคู่กับ แนวทาง Universal Prevention คือ การเข้มตัวเองขั้นสูงสุด โดยเฉพาะการรวมตัวกันในสถานที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร โรงหนัง จึงนำมาสู่แนวทางมาตราการ Covid Free Settings ซึ่งจะถูกบังคับใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด จะเป็นมาตรการที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดประเทศเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม มาตรการที่ออกมาจึงเป็นการเตรียมพร้อมก่อนเปิดประเทศอย่างปลอดภัย
นพ.เกียรติภูมิ ยังกล่าวถึงสถานการณ์โควิดในปีหน้า คาว่าน่าจะคลี่คลายในเดือนมกราคม ขณะที่ สถานการณ์วัคซีนโควิดตอนนี้ประเทศไทยฉีดไปแล้วประมาณ 57 ล้านโดส จำนวนนี้เป็นผู้ที่รับเข็ม 1 จำนวน 33.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 69 เขต 2 อยู่ที่ 22 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 22 ส่วนการฉีดวัคซีนในนักเรียนอายุตั้งแต่ 12-18 ปี ที่ตั้งเป้า 4 ล้านคน ปัจจุบันฉีดไปแล้ว 74,500 คน
สำหรับการคาดการณ์การฉีดวัคซีนในเดือนตุลาคมถึงธันวาคมนั้น สิ้นเดือนตุลาคมนี้คาดการณ์จะมีวัคซีนค่อนข้างเพียงพอ จะสามารถบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด โดยสิ้นเดือนกันยายน คาดว่า เข็มหนึ่งจะสามารถฉีดครอบคลุมได้ร้อยละ 45 เข็มสอง ร้อยละ 25 สิ้นเดือนตุลาคมครอบคลุมร้อยละ 61 เข็มสอง ร้อยละ 37 และสิ้นเดือนพฤศจิกายน เข็มหนึ่งจะครอบคลุมร้อยละ 75 เข็มสอง จะครอบคลุมร้อยละ 55 ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานโลกที่สัดส่วนการฉีดจะอยู่ประมาณนี้
ขณะที่ สิ้นเดือนธันวาคม เข็ม 1 จะครอบคลุมประชากร 60 ล้านคน หรือร้อยละ 85 และเข็มสอง ครอบคลุมประชากร 49 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70
ส่วนความคืบหน้าสูตรวัคซีนไขว้ แอสตร้าเซนเนก้า-ไฟเซอร์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า วันนี้จะมีการประชุมจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพื่อให้การรับรอง ก่อนที่จะเข้าที่ประชุม EOC กระทรวงสาธารณสุข จากนั้นจะเสนอไปที่ ศบค.ชุดใหญ่เพื่อพิจารณาประกาศใช้อย่างเป็นการ แต่ปัจจุบันไทยได้มีการใช้สูตรวัคซีนไขว้แอสตร้าฯ-ไฟเซอร์ ในประชาชนบางส่วนแล้ว เนื่องจากเป็นสูตรวัคซีนไขว้ที่องค์อนามัยโลกรองรับ.
ข้อมูลและภาพจาก ทีมข่าว TNN ช่อง 16