รัฐบาลลุยช่วยเด็กนอกระบบ 77 จังหวัด – แจกทุนเรียน-ฝึกอาชีพ พร้อมดัน AI ยกระดับทักษะเยาวชน

รองนายกฯ ประเสริฐ  ประกาศ ปิดเทอมใหญ่นี้ 77 จังหวัดลุยช่วยเด็กนอกระบบกลับมาเรียน  พร้อมจ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาและพัฒนาอาชีพ ผ่านกสศ.  ขณะที่ Microsoft หนุน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ยกระดับทักษะAI  เพิ่มโอกาสมีงานทำ พร้อมจับมือ UNICEF สร้าง 1 ตำบล 1 Youth Worker


เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568  ที่ห้องประชุม 801 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)   ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ Thailand Zero Dropout ระดับชาติ โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาฯ ร่วมประชุม 

รัฐบาลลุยช่วยเด็กนอกระบบ 77 จังหวัด – แจกทุนเรียน-ฝึกอาชีพ พร้อมดัน AI ยกระดับทักษะเยาวชน

สรุปข่าว

รัฐบาลเดินหน้าช่วยเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาใน 77 จังหวัด ผ่านโครงการ Thailand Zero Dropout โดยตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดติดตามเด็กนอกระบบ 982,304 คน เพื่อพากลับเข้าสู่การศึกษา พร้อมมอบเงินอุดหนุนผ่าน กสศ. สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการเรียนและพัฒนาทักษะอาชีพ อีกทั้งผลักดันรูปแบบ Learn to Earn ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตจริง นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับ Microsoft สนับสนุนศูนย์ดิจิทัลชุมชน เสริมทักษะ AI และภาษาต่างประเทศ รวมถึงจับมือ UNICEF ขยายโครงการ 1 ตำบล 1 Youth Worker เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ รองนายกฯ ประเสริฐย้ำว่ารัฐบาลมุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคให้ทุกคน

นายประเสริฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมถึงความก้าวหน้าในการช่วยเหลือเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาว่า ขณะนี้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศได้แต่งตั้งคณะกรรมการจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนภารกิจนี้ร่วมกับทุกส่วนราชการภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในจังหวัดแล้ว ซึ่งบางจังหวัดก้าวหน้ามีคณะกรรมการระดับอำเภอ หรือตำบล  สิ่งสำคัญจากนี้คือการสนับสนุนให้คณะกรรมการทั้ง 77 จังหวัด ได้ใช้ข้อมูลเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษา ปี 2567 จำนวน 982,304 คน ในการค้นหาและติดตามให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนทุกพื้นที่ ด้วยระบบฐานข้อมูลกลาง Thailand Zero Dropout ที่เป็นปัจจุบันระบบเดียวกันทั้งประเทศ

“ทั้ง 77 จังหวัดพร้อมแล้ว ในการทำงานเชิงรุกช่วงปิดทอมใหญ่นี้   ซึ่งจากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.)  ระบุว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ  ที่ครัวเรือนของนักเรียนยากจน ที่มีข้อจำกัดในชีวิตตัดสินใจไม่เรียนต่อ โดยเฉพาะช่วงชั้นรอยต่อการศึกษาภาคบังคับ ป.6  และม.3  ดังนั้นการทำงานจึงเน้นไปที่การช่วยเหลือ นำเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษากลับสู่การศึกษาและการเรียนรู้อีกครั้งให้ทันเปิดเทอมนี้  

โดยจะมีเงินอุดหนุน สำหรับเด็กและเยาวชนนอกระบบทุกคน ผ่าน กสศ. ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษา/ค่าเล่าเรียน/ค่าพัฒนาทักษะอาชีพ โดยกสศ. จะทำงานร่วมกับ จังหวัด อำเภอ ตำบล ที่รับรองรายชื่อเด็กเยาวชนกลุ่มที่เข้ามา 

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำงานด้วย 4 มาตรการหลักได้แก่ (1) การบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อให้มีระบบข้อมูลกลางที่เป็นปัจจุบัน (2) การติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแล (3) การจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ และ (4) การส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ (Learn to Earn) 

“ รัฐบาลมีความเข้าใจอย่างมากต่อปัญหาและข้อจำกัดของครัวเรือนยากจน เด็กเยาวชน ที่ได้รับการค้นหา จะเข้าสู่การวางแผนการช่วยเหลือเป็นรายคน ครอบคลุมทุกมิติปัญหา และนำสู่การศึกษา การเรียนรู้แบบ Learn to Earn ที่มีหลายทางเลือก ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตปากท้อง ทั้ง 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ   สกร.   ศูนย์การเรียน  รวมถึงการเปิด Mobile School ที่ทาง กสศ. ได้พัฒนาขึ้น เพื่อสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาว่า เด็กทุกคนในประเทศนี้จะได้รับโอกาสทางการศึกษาเสมอภาค”  

นายประเสริฐ ยังกล่าวอีกว่า  ได้ผลักดันโคราชโมเดลเป็นหนึ่งในตัวแบบของประเทศ มีความก้าวหน้าสำคัญคือการดึงภาคเอกชน บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด มาให้การสนับสนุนศูนย์ดิจิทัลชุมชน ดูแลห้องคอมพิวเตอร์และอบรมการใช้งาน AI ขั้นพื้นฐาน โปรแกรมฝึกภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน หรือการใช้ chatbot เพื่อการเรียนการสอน รวมถึงความร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟ พัฒนาผู้ทำงานกับเยาวชน (Youth Worker) ให้ขยายจากจังหวัดโคราช เป็นครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ