หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ว่า รัฐบาลของเขากำลังหารือเรื่องการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอัตราร้อยละ 10 โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไปนั้น
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก. ทำการวิเคราะห์เบื้องต้นผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีต่อจีนของ สหรัฐฯ รวมถึงโอกาสและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทย
โดยสินค้าที่นำเข้าจากจีนนั้น จะมีต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้นในการส่งออกสินค้าเกษตรทุกรายการไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 3,670.66 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของจีนลดลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าอื่น ซึ่งจะส่งผล กระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อไทย
ส่วนผลกระทบเชิงบวก หากจีนถูกจำกัดการส่งออกไปสหรัฐฯ ด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในทุกสินค้า จะเป็นโอกาสสำคัญของไทย และประเทศคู่ค้าอื่นที่จะเข้าไปครองส่วนแบ่งตลาดที่จีนครองอยู่
โดยสินค้าไทยที่มีโอกาสในการเข้าแทนที่จีนในตลาดสหรัฐฯ เช่น กลุ่มอาหารสัตว์, เนื้อปลาแช่แข็ง และ ข้าว รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และ ผลไม้แห้ง
ดังนั้น ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน เร่งผลักดันและเสริมสร้าง ศักยภาพในสินค้าเกษตรของประเทศเพิ่มขึ้น โดยต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือจากเอกชน
ส่วนผลกระทบเชิงลบ คือ อาจเกิดการหลั่งไหลของสินค้าไปยังตลาดส่งออกสำคัญ ของไทยได้ ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียตลาดส่งออกสำคัญ รวมถึงสินค้าที่อาจทะลักเข้ามาในไทย
ดังนั้นข้อเสนอแนะระยะสั้น คือ ไทยต้องรักษา พัฒนามาตรฐานการผลิต รวมถึงคุณภาพสินค้าในระดับสากล เพื่อรักษาความสามารถ ในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ
และ ต้องเร่งเจรจาเปิดตลาดสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและโอกาสทำการตลาดในสหรัฐฯ ในระดับรัฐต่อรัฐ รวมถึงศึกษาแนวโน้มความต้องการในตลาดสหรัฐฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ผลิต และผู้บริโภคในสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ไทยควรปรับกลยุทธ์ทางการค้าและการส่งออก โดยให้ความสำคัญกับการหาพันธมิตรทาง
สรุปข่าว