วิกฤตสภาพอากาศที่เลวร้ายลงในรัฐอีสเทิร์น อีเควทอเรียของซูดานใต้ ส่งผลให้ฝนตกไม่แน่นอน ภัยแล้งยาวนาน และสภาพอากาศรุนแรง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอย่างหนัก ความแปรปรวนเหล่านี้ รวมถึงการรุกรานของนกศัตรูพืช ทำให้กิจกรรมเกษตรเสียหาย ผลผลิตลดลง และประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารและภาวะทุพโภชนาการ
ชาวบ้านจำนวนมากที่สูญเสียผลผลิตจากภาวะแห้งแล้งต้องหันไปพึ่งการขายฟืนและเผาถ่านเป็นรายได้หลัก เช่น นาคาอี โลเตอร์ แม่ลูกสามที่ต้องดิ้นรนเลี้ยงครอบครัวหลังจากพืชผลถูกทำลายหมดสิ้น เธอเล่าว่าหลังจากที่นกทำลายพืชไร่ เธอไม่มีอะไรเหลือให้กิน และลูกๆ ของเธอกำลังเผชิญภาวะขาดสารอาหาร เธอจำเป็นต้องขายฟืนและเผาถ่านเพื่อหาเงินซื้ออาหารให้ลูก
สรุปข่าว
สถานการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นกับ อเดล โลซิเค แม่ลูกสองที่ลูกๆ ของเธอป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร หลังจากภัยแล้งทำให้ผลผลิตไร่ล้มเหลว เธอเล่าว่าพื้นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นดินแห้งแตกระแหง และครอบครัวของเธอไม่มีอาหารเพียงพอ ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เธอต้องดิ้นรนหาเลี้ยงลูกท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ
แม้จะเผชิญความยากลำบาก โลไค โจเนซิโอ อีจูลา เกษตรกรจากเขตคาโปเอตา นอร์ธ ยังคงมีความหวัง เขาเล่าว่าพื้นที่ของเขาซึ่งเคยมีดินอุดมสมบูรณ์ต้องเผชิญภัยแล้งรุนแรง แต่โครงการของโครงการอาหารโลก (WFP) ได้เข้ามาสอนเทคนิคการเกษตรใหม่ เช่น การขุดคูดักน้ำและการใช้เครื่องมือทันสมัย ซึ่งช่วยให้พืชผลฟื้นตัวได้บางส่วน
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อทั้งภูมิภาค รายงานล่าสุดของ Integrated Food Security Phase Classification (IPC) คาดการณ์ว่าในเดือนเมษายนนี้ ประชากรซูดานใต้ถึง 57% จะประสบภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ขณะที่หน่วยงานนานาชาติเช่น WFP กำลังพยายามช่วยเหลือชุมชนให้ปรับตัว เช่น การพัฒนาวิธีอนุรักษ์น้ำและฟื้นฟูดินเพื่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว
หลุยส์ โลบอง โลโจเร ผู้ว่าการรัฐอีสเทิร์น อีเควทอเรีย ยอมรับว่าสถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งภัยแล้ง ศัตรูพืช และน้ำท่วม รัฐบาลท้องถิ่นจึงต้องร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศในการแก้ไขวิกฤตนี้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น