
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ผมมีภารกิจกับการประเมินสภาพอากาศกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจาก IPCC โลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้มลพิษทางอากาศจาก PM2.5 จะรุนแรงขึ้น (ทุกๆ 1 องศาเซลเซียส ประมาณ 0.5-1 ไมโครกรัม/ลบ.ม.) จากการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีในอากาศของแก๊สเรือนกระจกมากขึ้น เช่นการใช้แอร์ การใช้ยานพาหนะที่ใช้พลังงานฟอสซิล ประกอบกับการเผาไหม้ชีวมวล ปรากฎการณ์อุณหภูมิผกผัน โดยเฉพาะในชุมชนเมืองที่มีสภาพอากาศร้อน และชุมชนในหุบเขา

สรุปข่าว
โลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้มีอัตราการระเหยมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งต้องโอบอุ้มความชื้น หรือปริมาณเมฆมากขึ้น (ทุกๆ 1 องศาเซลเซียส มีอัตราการระเหยเพิ่มขึ้น 7 %) จึงทำให้ความเสี่ยงของการเกิดสภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้วสูงขึ้น และรุนแรงขึ้น พฤติกรรมสภาพอากาศเหวี่ยงสุดขั้วอาจจะเป็นแบบรายเดือน รายฤดูกาล รายปี ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ทั่วทุกภูมิภาคบนโลกได้รับผลกระทบแตกต่างกันจากการประเมินล่าสุดโดย IPCC ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบมากขึ้นด้วย (รู้ตัวเองหรือไม่ ?) เพราะขาดการประเมินลงรายละเอียดแต่ละพื้นที่ ผมยกตัวอย่างพื้นที่แต่ละจังหวัดในแต่ละภาคในปี 2567 ที่ผ่านมา สภาพอากาศแตกต่างกัน มีพฤติกรรมเหวี่ยงสุดขั้วต่างกัน (เฉดสีต่างกัน) บางจังหวัดมีแนวโน้มจากร้อนแล้งไปสู่การมีฝนตกหนัก น้ำท่วม บางจังหวัดสลับขั้วกัน ดังนั้นภาคส่วนต่างๆตามพื้นที่ที่ต่างกัน (ภาคธุรกิจ ภาคเกษตรกรรม ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม) จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัว การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เป็นเรื่องท้าทาย เพราะอนาคตสภาพอากาศไม่เหมือนเดิมนะครับ
ที่มาข้อมูล : ดร.เสรี ศุภราทิตย์
ที่มารูปภาพ : ดร.เสรี ศุภราทิตย์

null null
(wasana_chut)