ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เรียกร้องสหภาพยุโรป หรืออียูเมื่อวานนี้ (11 เมษายน) ให้ร่วมมือกับจีนในการต่อต้าน “การข่มขู่คุกคามแต่เพียงฝ่ายเดียว” หลังมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จุดชนวนให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วนวุ่นวายอย่างหนัก
หลังจากตลาดหุ้นร่วงและตลาดพันธบัตรเริ่มปรับตัวลดลง ทรัมป์พยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการค้าโลกหลังสงคราม และระงับภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ หลายรายการเป็นเวลา 90 วัน แต่ทรัมป์กลับปรับเพิ่มภาษีสินค้าจีนเป็นทั้งสิ้น 145% ส่งผลให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในการเจรจากับนายกรัฐมนตรีสเปน เปโดร ซานเชซ เมื่อวานนี้ สื่อของทางการจีนรายงานอ้างคำกล่าวของประธานาธิบดีสี ที่ระบุว่า จีนและอียูควรจะร่วมมือกันในปัญหาดังกล่าว โดย “จีนและยุโรปควรปฏิบัติตามความรับผิดชอบในระดับนานาชาติของตน และร่วมกันต่อต้านการข่มขู่ฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ”
สีย้ำว่า สิ่งนี้จะไม่เพียงแต่ "ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนเองเท่านั้น แต่ยังจะปกป้องความยุติธรรมและความเป็นธรรมในระดับนานาชาติด้วย"
หลังจากนั้นไม่นาน จีนแถลงว่า จะปรับขึ้นอัตราภาษีต่อสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% เมื่อเทียบกับ 145% ที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากจีน
สรุปข่าว
ด้านแคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงเมื่อวานนี้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังหวังที่จะเห็นการบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน ท่ามกลางสงครามการค้าที่กำลังดุเดือดมากขึ้นระหว่างสองประเทศ
ลีวิตต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทรัมป์แสดงท่าทีที่ชุดเจนมากว่า เขาเปิดกว้างที่จะบรรลุข้อตกลงกับจีน หากจีนยังคงตอบโต้ มันก็จะไม่เป็นผลดีสำหรับจีน
ฑิตยา เที่ยงกมล