
ลมกระโชกแรงและฝนตกหนักจากพายุหมุนเขตร้อนอัลเฟรด ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ทำให้บ้านเรือนประชาชนกว่า 300,000 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ ซ้ำยังเกิดน้ำท่วมพื้นที่ของชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย ตามรายงานของเจ้าหน้าที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม นอกจากนี้ยังมีผู้ขับขี่รถยนต์เสียชีวิต 1 ราย และทหารอีก 13 นายได้รับบาดเจ็บจากสภาพอากาศที่รุนแรง

สรุปข่าว
หลังจากที่พายุหมุนเขตร้อนอัลเฟรดเคลื่อนตัวไปตามชายฝั่งในฐานะพายุหมุนเขตร้อนระดับ 2 ซึ่งสร้างสภาพอากาศที่รุนแรงในภูมิภาคนี้ พายุอัลเฟรดได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุหมุนเขตร้อนแรงอ่อน ก่อนที่จะขึ้นฝั่งในช่วงเย็นวันเสาร์ (8 มี.ค.)
จากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นน้ำท่วมสูงถึงเข่าท่วมถนนในบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในควีนส์แลนด์ตะวันออกเฉียงใต้และนิวเซาท์เวลส์ตะวันออกเฉียงเหนือ
เดวิด คริซาฟูลลี ผู้ว่าการรัฐควีนส์แลนด์ เผยว่า มีน้ำฝนท่วมขังสูง 23 เซนติเมตรในพื้นที่เฮอร์วีย์เบย์ของควีนส์แลนด์ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนถูกน้ำท่วมและต้องอพยพผู้คนที่ติดอยู่ในน้ำที่ไหลเชี่ยว และโรงเรียนมากกว่า 1,000 แห่งที่ต้องปิดไปทั่วทั้งรัฐ
บริษัทสาธารณูปโภคกล่าวว่า ประมาณ 290,000 หลังคาเรือนและธุรกิจในควีนส์แลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ และอีก 16,000 หลังในนิวเซาท์เวลส์ตะวันออกเฉียงเหนือยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้ในวันนี้ (9 มี.ค.) พร้อมระบุว่า อาจเป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปอีกหลายวัน
ขณะเดียวกันหน่วยงานบริการฉุกเฉินระบุว่า ประชาชนประมาณ 14,600 คนอยู่ภายใต้คำเตือนฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับระบบสภาพอากาศรุนแรงดังกล่าว
ส่วนเหตุการณ์แยกต่างหากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 มี.ค.) ตำรวจกล่าวว่า ทหาร 13 นายได้รับบาดเจ็บและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากที่รถบรรทุกทหาร 2 คันพลิกคว่ำระหว่างการปฏิบัติหน้าที่เคลียร์ถนนใกล้เมืองลิสมอร์ในนิวเซาท์เวลส์ที่เสี่ยงน้ำท่วม
คริส มินส์ ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ แถลงว่า ทหาร 12 นายยังคงอยู่ในโรงพยาบาลในวันนี้ โดย 2 นายมีอาการบาดเจ็บสาหัส
ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของรัฐบาลเผยว่า สถานการณ์ในควีนส์แลนด์และนิวเซาท์เวลส์ตอนเหนือยังคงรุนแรงมากจากน้ำท่วมฉับพลันและลมแรง

พิชญาภา สูตะบุตร