ญี่ปุ่นเตรียมไฟเขียวให้ใช้คำว่า 'ไต้หวัน' ได้ในทะเบียนครอบครัว ไม่ต้องระบุว่าเป็นจีนอีกต่อไป

ปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงถือว่าไต้หวันเป็นภูมิภาค (region) ไม่ใช่ประเทศ (country) ภายใต้นโยบายซึ่งใช้มาตั้งแต่ตอนที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนในปี 1972 ส่งผลให้ผู้ที่เดินทางมาจากไต้หวันถูกระบุว่ามาจากจีนด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นเผยว่า หลังจากทบทวนกฎกระทรวง ชื่อภูมิภาคจะสามารถถูกระบุลงในช่องสัญชาติของทะเบียนครอบครัวได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ชาวไต้หวันที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่น สามารถใช้ชื่อไต้หวันในทะเบียนครอบครัวได้

เจ้าหน้าที่คนเดิมระบุด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบนี้มีขึ้น หลังจากที่คู่สมรสชาวไต้หวันจำนวนมากยื่นคำร้องว่าต้องการแสดงอัตลักษณ์ทางภูมิภาคที่ถูกต้อง และว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ระบบการลงทะเบียนมีความสมบูรณ์ และยังถือเป็นการแสดงความเคารพต่ออัตลักษณ์ทางภูมิภาคอีกด้วย พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หนังสือรับรองถิ่นพักอาศัย (residence certificate) สำหรับชาวต่างชาติที่พักอาศัยในญี่ปุ่นระยะกลางและระยะยาว ก็อนุญาตให้ชาวไต้หวันระบุว่ามาจากไต้หวันได้อยู่แล้ว ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงอาจเกิดความสับสน ในกรณีที่หนังสือรับรองถิ่นพำนักระบุว่ามาจากไต้หวัน แต่ในทะเบียนครอบครัวกลับระบุว่าเป็นจีน

ญี่ปุ่นเตรียมไฟเขียวให้ใช้คำว่า 'ไต้หวัน' ได้ในทะเบียนครอบครัว ไม่ต้องระบุว่าเป็นจีนอีกต่อไป

สรุปข่าว

รัฐบาลญี่ปุ่นจะอนุญาตให้ระบุได้ทั้งชื่อประเทศและดินแดนในช่องสัญชาติของทะเบียนครอบครัว ซึ่งจะทำให้ชาวไต้หวันที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นสามารถใช้ชื่อไต้หวันในทะเบียนครอบครัวได้ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ออกมาแสดงความชื่นชมต่อท่าทีของญี่ปุ่น ระบุความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเคารพในอัตลักษณ์ของชาวไต้หวันในญี่ปุ่น และยังเป็นการระบุตัวตนที่ชัดเจนมากขึ้นด้วย ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแสดงความไม่พอใจ และเรียกร้องให้ญี่ปุ่นยึดมั่นตามหลักการจีนเดียว อย่ามีลูกเล่นใด ๆ ในประเด็นไต้หวัน และอย่าส่งสัญญาณที่ย้อนแย้งหรือไม่ถูกต้อง

รัฐบาลจีนถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยของจีน และไม่ปฏิเสธทางเลือกที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดไต้หวันหากมีความจำเป็น รวมถึงยังคัดค้านการกระทำใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้ไต้หวันได้มีสิทธิมีเสียงอันชอบธรรมมากขึ้นในเวทีโลก

ที่มาข้อมูล : The Asahi Shimbun

ที่มารูปภาพ : Canva