
เธรีส คายิความบา วากเนอร์ (Therese Kayikwamba Wagner) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของดีอาร์คองโก เปิดเผยในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ในวันอังคารว่า จากเหตุการต่อสู้อย่างดุเดือดทางตะวันออกของประเทศ ทำให้มีคนพลัดถิ่นที่อยู่อาศัยแล้วไม่น้อยกว่า 500,000 คน และทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในหลายจุดเลวร้ายลง และเป็นการต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่าสิบปีที่ผ่านมา
ด้านภารกิจสันติภาพของยูเอ็น ในดีอาร์คองโก หรือ MONUSCO ได้เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ความรุนแรงโดยด่วน

สรุปข่าว
เกิดอะไรขึ้นในดีอาร์คองโก?
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะนำมาสู่ความไม่แน่นอนที่ขยายวงกว้างมากขึ้นในประเทศ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยความขัดแย้งในทวีปแอฟริกา
โดยเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา กลุ่มกบฏชื่อ M23 ที่ได้รับการหนุนหลังจากทหารเพื่อนบ้านอย่างรวันดา ได้เข้ายึดครองเมืองโกมา (GOMA) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของดีอาร์คองโก ที่อยู่อาศัยของประชากรราว 1 ล้านคน ซึ่งเมืองโกมา มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และการบริหารงานของประเทศ
จากนั้น ความวุ่นวายตามมาด้วยเหตุการณ์แหกคุกหลักในเมือง ทำให้นักโทษมากกว่า 4.000 คน หลบหนีออกมาตามท้องถนน จนทำให้ประชาชนทั่วไปต้องขังตัวเองอยู่ในบ้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผู้ประท้วงบุกโจมตีสถานทูตหลายประเทศในเมือง ทั้งสถานทูตเบลเยียม, เคนยา, อูกานดา และสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศกดดันให้รวันดา ยุติการเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนกลุ่มกบฏ M23 นี้
“ดีอาร์คองโก” เมืองแห่งทรัพยากร ใคร ๆ ก็ต้องการ?
ดีอาร์คองโกเป็นประเทศที่รุ่มรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงโลหะ และแร่ธาต เช่น ทองคำ, ดีบุก และแร่โคลแทน ซึ่งล้วนมีความจำเป็นต่อการผลิตโทรศัพท์มือถือ และแบตเตอร์รี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ทรัพยากรเหล่านี้เอง ที่นำมาสู่วงจรแห่งการทุจริต และการนองเลือด เนื่องจากบรรดากองกำลังติดอาวุธท้องถิ่น รวมถึงกองกำลังจากต่างประเทศ ต่างแย่งชิงอำนาจเพื่อควบคุมดินแดนแห่งนี้ ซึ่ง ดีอาร์คองโก ต้องตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งมานานกว่า 30 ปีแล้ว นับตั้งแต่เหตุการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวรวันดา
ชาวคองโกต่างต้องทนทุกข์กับผลที่ตามมา มีผู้พลัดถิ่นในประเทศรวมกว่า 7 ล้านคน ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนรายงานความโหดร้ายที่เกิดขึ้น รวมถึงการสังหารหมู่, ความรุนแรงทางเพศ หรือการว่าจ้างทหารเด็ก
และต้นตอของความขัดแย้งรอบใหม่นี้เกิดขึ้น เมื่อกลุ่มกบฏ M23 ที่นำโดยชนกลุ่มน้อยทุตซี่ (Tutsi) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สั่งสมกำลังได้มากขึ้น โดยเมื่อปี 2012 ได้เข้ายึดเมืองโกมา ก่อนที่จะถูกขับไล่โดยกองทัพคองโก และกองกำลังของยูเอ็น เมื่อปี 2013 - ก่อนที่ M23 จะเข้ามายึดเมืองได้อีกครั้งเมื่อปี 2021 ย้ำว่า เพื่อปกป้องชาวทุตซี่ในพื้นที่ตะวันออกของคองโก จากการถูกเลือกปฏิบัติและความรุนแรง
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้นำคองโก ชี้ว่า กลุ่มกบฏ M23 นี้ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะ “รวันดา”
แล้วเกี่ยวอะไรกับรวันดา?
รวันดา เพื่อนบ้านทางตะวันออกของ DR Congo เคยเจอสถานการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทุตซี่ เมื่อปี 1994 จากกลุ่มชาติพันธุ์ฮูตู ที่คาดว่ามีชาวทุตซี่เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 800,000 คน – เหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้นจบลงด้วยฝีมือของ พอล คากาเม (Paul Kagame) ประธานาธิบดีชาวทุตซี่คนปัจจุบัน – และทำให้ชาวฮูตูต้องหลบหนีข้ามพรมแดนไปยังรวันดา
คากาเม เรียกร้องให้กำจัดกองกำลังประชาธิปไตยเพื่อการปลดปล่อยรวันดา (FDLR) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏชาวฮูตูที่ปฏิบัติการอยู่ในคองโกตะวันออก โดยรัฐบาลของเขาอ้างว่า สมาชิกบางส่วนของกลุ่มนี้มีส่วนต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อรวันดา – จึงเข้ามามีส่วนในการสนับสนุนกลุ่ม M23 ซึ่งเป็นชาวทุตซี่เหมือนกัน เพื่อจัดการกับกลุ่มฮูตูในคองโก
แต่รัฐบาลดีอาร์คองโกกล่าวหาว่า รวันดาเพียงใช้ความขัดแย้งเป็นข้ออ้างเพื่อเข้ามายึดครองทรัพยากรธรรมชาติเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า รวันดาจะยังคงไม่ถอนอิทธิพลออกไปจากดีอาร์คองโก ง่าย ๆ จนกว่าจะมั่นใจแล้วว่ากลุ่ม FDLR ของชาวฮูตู ไม่เป็นภัยคุกคามต่อตัวเอง หรือต่อชาวทุตซี่ทางตะวันออกของ DR Congo อีกต่อไป