ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ทุกประเทศ คาดมีผลเมษายน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในบันทึกของประธานาธิบดี (presidential memorandum) ในวันพฤหัสบดี (13 กุมภาพันธ์ 2568 ) ระบุแผนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ


ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ภายใต้แผนนี้ สหรัฐฯ จะถือว่านโยบายที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (non-tariff policies) ของประเทศอื่น ๆ นั้น เข้าข่ายการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมด้วยเช่นกัน จึงสมควรถูกตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากร โดยนโยบายที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรเหล่านั้นรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT และการปฏิบัติอื่น ๆ ที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการใช้ข้อจำกัดทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม

ประเทศต่าง ๆ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งสินค้าหรือสิ่งของอื่น ๆ มายังสหรัฐฯ ผ่านประเทศที่สาม พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งรวมถึงภาษีการนำเข้ารถยนต์


โดยทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าว ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว ระบุว่า


"พวกเขาเก็บภาษี หรือภาษีศุลกากรจากเรา และเราก็จะเก็บจากพวกเขาบ้าง" 


อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวจะยังไม่มีผลบังคับใช้ทันทีที่ลงนาม 

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า โฮเวิร์ด ลุตนิก ผู้ที่เขาเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้นำในการศึกษาประเด็นต่าง ๆ เพื่อกำหนดระดับภาษีศุลกากรที่เหมาะสมสำหรับแต่ละประเทศที่ได้รับผลกระทบ


ลุตนิก กล่าวในระหว่างแถลงข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ว่า เขาคาดว่าการศึกษาเหล่านี้จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อให้ประธานาธิบดีทรัมป์ สามารถตัดสินใจที่จะดำเนินการมาตรการดังกล่าวในวันที่ 2 เมษายน 2568 ขณะเดียวกันลุตนิกกล่าวว่า ในระหว่างนี้บรรดาประเทศคู่ค้าอาจจะตัดสินใจปรับลดภาษีศุลกากรของตน


ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ทุกประเทศ คาดมีผลเมษายน

สรุปข่าว

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามเพื่อขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้กับทุกประเทศ คาดมีผลเมษายนนี้

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า แนวทางของรัฐบาลจะเริ่มจากการตรวจสอบประเทศที่มียอดเกินดุลการค้าสหรัฐฯ มากที่สุด หรือมีปัญหาร้ายแรงที่สุด


ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า 


"ผมได้ตัดสินใจด้วยวัตถุประสงค์ที่เป็นธรรมว่า ผมจะเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ ซึ่งหมายความว่าประเทศหนึ่งเก็บภาษีจากสหรัฐฯ เท่าใด เราก็จะเก็บภาษีจากพวกเขาเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยกว่า"


"เป็นเวลาหลายปีที่สหรัฐฯ ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมโดยประเทศอื่น ๆ ทั้งมิตรและศัตรู"


 "อเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือหลายประเทศตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยต้นทุนทางการเงินที่สูง และขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ประเทศเหล่านี้ควรจดจำสิ่งที่เราได้ทำเพื่อพวกเขา และถึงเวลาที่พวกเขาจะปฏิบัติกับเราอย่างเป็นธรรม"


และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ภาษีศุลกากรครั้งใหม่นี้จะทำให้ราคาสินค้าสำหรับชาวอเมริกันสูงขึ้นหรือไม่ 


ประธานาธิบดีทรัมป์ โต้กลับว่า  "สิ่งที่จะสูงขึ้นคือการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าอาจเพิ่มขึ้นบ้างในระยะสั้น แต่ราคาก็จะปรับตัวลดลงด้วย"



ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับจีน แคนาดา และเม็กซิโกแล้ว รวมถึงการเพิ่มภาษีการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมด้วย แต่สำหรับแคนาดาและเม็กซิโก  โดนัลด์  ทรัมป์ได้สั่งระงับการขึ้นภาษีศุลกากร 25 % ออกไปก่อน เนื่องจากทั้งสองประเทศได้เจรจากับสหรัฐ พร้อมให้คำมั่นว่าจะปราบปรามการลักลอบข้ามแดนอย่างผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติดในพื้นที่ชายแดน


ที่มาข้อมูล : CNBC Reuters

ที่มารูปภาพ : Freepik