สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ลอนดอนกำลังไล่ตามนิวยอร์กในดัชนีศูนย์กลางการเงินโลก ซึ่งเป็นสัญญาณแรกที่ชี้ว่าความพยายามของรัฐบาลอังกฤษในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนที่ซบเซาเริ่มเห็นผล
ทั้งนี้ ดัชนี GFCI 37 จัดทำขึ้นโดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณจากองค์กรภายนอก เช่น ธนาคารโลก (World Bank), องค์การสหประชาชาติ (United Nations) และ OECD รวมถึงผลสำรวจความคิดเห็นออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกว่า 4,946 ราย
นอกจากนี้ นิวยอร์กจะครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 แต่ในรายงาน GFCI ฉบับที่ 37 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ลอนดอนสามารถลดช่องว่างลงเหลือเพียง 7 คะแนน หลังจากคะแนนเพิ่มขึ้น 12 คะแนน
สรุปข่าว
ขณะที่ฮ่องกงยังคงรั้งอันดับ 3 นำหน้าสิงคโปร์ ขณะที่ซานฟรานซิสโก, ชิคาโก, ลอสแอนเจลิส, เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ยังคงอยู่ในอันดับ 5-9 ตามลำดับ ด้านกรุงโซลกลับเข้าสู่ 10 อันดับแรกอีกครั้ง ขณะที่ใน 20 อันดับแรก ดูไบขยับขึ้น 4 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 12 และอัมสเตอร์ดัมกระโดดขึ้น 9 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 18
แม้ว่าลอนดอนจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่อุตสาหกรรมการเงินของสหราชอาณาจักรยังคงเผชิญกับความท้าทาย หลังจากที่ประเทศสูญเสียสิทธิ์เข้าถึงตลาดเดียวของสหภาพยุโรป อย่างเสรี เนื่องจาก Brexit
โดยทางการอังกฤษกำลังพยายามผลักดันมาตรการปฏิรูปที่มุ่งเน้นการเติบโต โดย Financial Conduct Authority (FCA) และ Prudential Regulation Authority (PRA) อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการเงิน ขณะที่เรเชล รีฟส์ (Rachel Reeves) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักร ได้เรียกร้องให้มีแนวทางที่สมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
รายงาน GFCI ยังเผยว่า ศูนย์กลางการเงินของสหรัฐมีการปรับตัวดีขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในภาคบริการทางการเงินของสหรัฐ ด้านเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า นโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้ความพยายามในการควบคุมเงินเฟ้อล่าช้าออกไป
ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวรอยเตอร์
ที่มารูปภาพ : TNN