
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จากข้อมูลล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐในนิวยอร์ก พบว่าสัดส่วนของผู้บริโภคในสหรัฐที่ไม่ยื่นขอสินเชื่อ เพราะคาดว่าจะถูกปฏิเสธนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่มีสภาวะการเงินตึงตัว
โดยในการสำรวจความคาดหวังของผู้บริโภคครั้งล่าสุด พบว่าสัดส่วนของผู้ยื่นขอสินเชื่อที่ท้อแท้ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ต้องการสินเชื่อแต่ไม่ยื่นขอเพราะไม่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติ ได้เพิ่มขึ้นเป็น 8.5% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มการศึกษานี้ในปี 2556

สรุปข่าว
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อ โดยความรู้สึกนี้ขยายไปทั่วประเภทสินเชื่อต่างๆ ตั้งแต่บัตรเครดิต ไปจนถึงสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและรถยนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สมัครขอสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้สมัครคาดว่าจะถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มการสำรวจนี้
นอกจากนี้ ภาพรวมของสถานการณ์การเงินที่เริ่มมีความเปราะบางมากขึ้นสำหรับหลายครัวเรือนในสหรัฐ เนื่องจากตลาดงานที่เริ่มชะลอตัวส่งผลให้การเติบโตของค่าจ้างชะลอ และค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมที่สูงขึ้นทำให้การชำระหนี้ยากขึ้น การผิดนัดชำระหนี้ มีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายๆ ประเภท และสถาบันการเงินต่างๆ ก็เริ่มมีท่าทีระมัดระวังในการให้สินเชื่อมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ที่ระบุว่า มากกว่าร้อยละ 40 ของเจ้าของบ้านที่ยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ (refinance) โดยอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในขณะนี้ยังคงสูงกว่าหลายปีก่อน ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการรีไฟแนนซ์ส่วนใหญ่พยายามใช้สินเชื่อเพื่อดึงทุนส่วนต่างจากมูลค่าของบ้านที่เพิ่มขึ้นในช่วงการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้หนี้หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ แทนที่จะลดการจ่ายเงินรายเดือน
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจากการสำรวจยังพบว่า สัดส่วนของผู้บริโภคที่กล่าวว่าพวกเขาสามารถจัดหาจำนวนเงิน 2,000 ดอลลาร์ในกรณีฉุกเฉิน ได้ลดลงเหลือเพียง 63% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มการสำรวจนี้
ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ที่มารูปภาพ : TNN