นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงาน "Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities" จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ว่า ประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพสูงในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่ประเทศกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 ที่ผ่านมา
ดังนั้นรัฐบาลจึงตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากกว่าร้อยละ 3-3.5 ซึ่งถือเป็นระดับปกติของภูมิภาค
โดยปัจจัยหนุนมาจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากขึ้น และมีแนวโน้มตัดสินใจลงทุนในไทยรวดเร็วขึ้น เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของซัพพลายเชนโลก
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ดึงดูดการลงทุนจากนานาชาติ ได้แก่
1.ทำเลยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงตลาดขนาดใหญ่เกือบ 700 ล้านคน
สรุปข่าว
2.ศูนย์กลางการค้า ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งรัฐบาล กำลังเร่งทำโครงการรถไฟรางคู่เพื่อเชื่อมต่อทุกจุดให้ลื่นไหล โดยรถไฟรางคู่จากกรุงเทพ เชื่อมถึงประเทศลาว จะเสร็จสิ้นในอีก 4 ข้างหน้า
3.สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทั้งด้านภูมิอากาศและเสถียรภาพ
4.เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน แข็งแกร่งและเชื่อถือได้
โดยจะมุ่งเน้นอุตสาหกรรมยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค รัฐบาลได้มุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง อาทิ อุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green) สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมยานยนต์และแบตเตอรี่ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์ รองรับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนานโยบายเพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ลดการปล่อยคาร์บอนและใช้พลังงานสะอาด การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพการปรับปรุงกฎระเบียบและบริการด้านการลงทุน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
ทั้งนี้ รัฐบาลมีความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนทั่วโลก ด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน