
นองเลือดถือว่าเป็นคำที่ไม่ผิด หากมองตลาดหุ้นทั่วเอเชีย นับแต่เปิดตลาดวันนี้ ที่แดงเดือดทุกดัชนี ยกเว้นไทย ที่วันนี้เป็นวันหยุดชดเชยวันจักรี ตลาดหุ้นไม่เปิดซื้อขาย
นี่คือผลพวงจากการประกาศภาษีต่างตอบแทน หรือภาษีตอบโต้ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ

สรุปข่าว
ย้อนไปปี 2530 เกิดวันที่ชื่อว่า วันจันทร์ทมิฬ 19 ตุลาคม 2530 คือวันที่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกดิ่งเหว มูลค่าหายไปในเวลาอันสั้น เริ่มจากตลาดในฮ่องกง ก่อนลุกลามไปยุโรป และอเมริกา
นักลงทุนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การเทขายแดงเดือนในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของ วันจันทร์ทมิฬยุคทรัมป์หรือไม่
แต่คำถามคือ ทำไมตลาดหุ้นเอเชียถึงสะเทือนหนักเช่นนี้จากการประกาศภาษีตอบโต้ของทรัมป์ กับ 60 ประเทศ รวมถึงไทย
นั่นเพราะเอเชียเป็นที่ตั้งฐานการผลิตสินค้ามหาศาล ที่กระจายขายไปทั่วโลก แล้วประเทศ/ดินแดน ในเอเชียจำนวนมาก ก็เจอการขึ้นภาษีทรัมป์ในสัดส่วนที่สูงกว่ายุโรป
นั่นทำให้ตลาดหุ้นในเอเชีย อ่อนไหวมากต่อนโยบายด้านภาษีศุลกากรนำเข้า รวมถึงความวิตกของนักลงทุนว่าจะเกิดสงครามการค้าโลก ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หรือถึงขั้นถดถอย
ถามว่า วันแดงเดือดในตลาดหุ้นเอเชียวันนี้ รุนแรงแค่ไหน ยกตัวอย่าง
นิกเคอิ ญี่ปุ่น หล่นฮวบ 7.8 เปอร์เซ็นต์
ASX 200 ของออสเตรเลียสูญเงินไป 4.2%
คอสปิของเกาหลีใต้ 5.6%
ฝั่งจีนยิ่งหนัก เพราะจีนเจอภาษีตอบโต้ บวกภาษีที่ถูกเก็บเพิ่มอยู่แล้ว รวมเป็น 54%
เซี่ยงไฮ้ ปิดตลาดลดลง 7.3% ฮั่งเส็ง ร่วงถึง 12.5%
ส่วนเกาะไต้หวันนั้น ปิดตลาดลดลงไป 9.7%
ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก รวมถึงโกลแมนด์ แซคส์ และเจพีมอร์แดน ที่ทำนายเลยว่า มีโอกาส 45-60% ที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า
และตอนนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้สูญมูลค่าไปแล้วหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับแต่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศทั่วโลก

ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล