
DSI แย้งอัยการ คดีดิไอคอนกรุ๊ป
กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แสดงความเห็นแย้งต่อคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ในคดี “ดิไอคอนกรุ๊ป” นับเป็นหมุดหมายสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงประชาชนในวงกว้าง
เดิมที DSI ได้สอบสวนคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวกรวม 19 คน ในข้อหากระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด

สรุปข่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องถึงสำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษกลับมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาสองรายคือ “บอสมีน” และ “บอสแซม” โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเหตุผลอย่างชัดเจนต่อสาธารณะ
นี่เองที่นำไปสู่การแสดงความเห็นแย้งโดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI ซึ่งได้พิจารณาสำนวน พยานหลักฐาน และความเห็นของอัยการแล้ว เห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงบางประการที่สมควรนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จึงเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด
คำถามที่สังคมอยากรู้
การที่ DSI ใช้อำนาจในการแย้งคำสั่งอัยการ ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบยุติธรรม ซึ่งเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีบทบาทสอบสวนสามารถตรวจสอบการพิจารณาคดีของอัยการก่อนที่เรื่องจะถึงศาล
แต่คำถามสำคัญคือ ข้อเท็จจริง “บางประการ” ที่ DSI อ้างถึงคืออะไร? และทำไมอัยการจึงเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอจะฟ้องบุคคลทั้งสองในขณะที่ DSI กลับเห็นต่างอย่างมีนัยสำคัญ?
ในอดีต ความเห็นแย้งลักษณะนี้มักปรากฏในคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคม เช่น คดีทุจริตระดับชาติ หรือคดีที่มีข้อกังขาเรื่องความเป็นกลางของกระบวนการยุติธรรม การแสดงจุดยืนของ DSI ในครั้งนี้จึงอาจถูกตีความว่าเป็นความพยายามสร้างความโปร่งใส และกู้ศรัทธาของประชาชนต่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม
ผลกระทบต่อระบบกฎหมายและความเชื่อมั่น
หากอัยการสูงสุดพิจารณาตามความเห็น DSI และสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองราย คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายความคลุมเครือและข้อกังขาที่สังคมมีต่อคดีนี้ได้มากขึ้น
ในทางกลับกัน หากอัยการสูงสุดยังยืนยันตามคำสั่งไม่ฟ้องเดิม สังคมอาจเรียกร้องความชัดเจนและเหตุผลเชิงลึกมากขึ้น ว่าทำไมพยานหลักฐานจึงไม่เพียงพอ หรือเหตุผลใดที่ทำให้ผู้ต้องหาบางรายควรถูกดำเนินคดี ขณะที่อีกบางรายได้รับข้อยกเว้น
สัญญาณจากคดีนี้
สิ่งที่ควรจับตาต่อจากนี้คือ การชี้ขาดของอัยการสูงสุดจะไปในทิศทางใด และกระบวนการทั้งหมดจะถูกสื่อสารต่อสาธารณะอย่างโปร่งใสหรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่แค่คดีหนึ่งในแฟ้มเอกสารของรัฐ หากแต่เป็นบทพิสูจน์ความกล้าหาญ ความเป็นอิสระ และความรับผิดชอบของกลไกยุติธรรมไทยในยุคที่ประชาชนจับตามองมากกว่าที่เคย

ยศไกร รัตนบรรเทิง
เบน
บรรณาธิการออนไลน์