สมรสเท่าเทียม "จุดเริ่มต้นของบทใหม่" เมื่อความรักได้รับการยอมรับ

"สมรสเท่าเทียม" จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์สังคมไทย: เมื่อความรักได้รับการยอมรับตามกฎหมาย

วันที่ 23 มกราคม 2568 จารึกไว้เป็นหน้าประวัติศาสตร์ของสังคมไทย เมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือ "กฎหมายสมรสเท่าเทียม" มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เปิดศักราชใหม่ให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญหลังจากการต่อสู้อันยาวนานกว่า 13 ปีของภาคประชาสังคมและกลุ่มผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ


จากจุดเริ่มต้นถึงความสำเร็จ เส้นทางการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม

การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทยเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2555 จากเหตุการณ์ที่คู่รักคู่หนึ่งพยายามจดทะเบียนสมรสที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ แม้จะถูกปฏิเสธเนื่องจากขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในขณะนั้น แต่เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงในสังคมอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิตในปี 2556 โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และการเสนอร่างกฎหมายจากภาคประชาชน แม้ว่าในช่วงแรกจะมีความเห็นที่แตกต่างระหว่างแนวทางการออกกฎหมายคู่ชีวิตและการแก้ไขกฎหมายสมรส แต่การถกเถียงเหล่านี้ได้ช่วยสร้างความเข้าใจและการยอมรับในสังคมมากขึ้น

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2563 เมื่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ผลักดันประเด็นสิทธิความเท่าเทียมทางเพศอย่างเข้มข้น กลุ่มต่างๆ เช่น เฟมินิสต์ปลดแอก เสรีเทยย์พลัส และเยาวชนปลดแอก ได้ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง ในช่วงเวลาเดียวกัน พรรคก้าวไกลในขณะนั้น ได้ยื่นร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร สร้างพื้นที่ให้การถกเถียงเรื่องนี้ในระดับนโยบาย



ความพยายามอย่างต่อเนื่องนำมาสู่ชัยชนะในที่สุด เมื่อร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมีนาคม 2567 ด้วยคะแนนเสียง 400 ต่อ 10 และผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาในเดือนมิถุนายน 2567 ด้วยคะแนน 130 ต่อ 4 เสียง สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสังคมไทยที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น การประกาศใช้กฎหมายในวันที่ 23 มกราคม 2568 จึงไม่เพียงเป็นการรับรองสิทธิตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการยืนยันว่าสังคมไทยได้ก้าวข้ามอคติทางเพศและพร้อมที่จะสร้างสังคมที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน

สาระสำคัญของกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าถ้อยคำ

กฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงแค่เปลี่ยนคำว่า "ชาย-หญิง" เป็น "บุคคล" และ "สามี-ภริยา" เป็น "คู่สมรส" แต่ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านสิทธิและหน้าที่ของคู่รักทุกเพศ โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญหลายด้าน 

การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกฎหมายสมรสเท่าเทียมนั้นลึกซึ้งกว่าการเปลี่ยนถ้อยคำในกฎหมาย โดยเป็นการปรับโครงสร้างทางกฎหมายทั้งระบบเพื่อรับรองสิทธิของคู่รักทุกเพศอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น 

ในด้านทรัพย์สิน หากคู่รักเพศเดียวกันซื้อบ้านร่วมกันระหว่างใช้ชีวิตคู่ เดิมทีบ้านหลังนั้นจะถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ที่มีชื่อในโฉนด แต่ภายใต้กฎหมายใหม่ บ้านหลังนี้จะถือเป็นสินสมรสที่ทั้งคู่มีสิทธิเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ กฎหมายยังเปิดโอกาสให้คู่รักทุกเพศสามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้ เช่น หากคู่รักชายรับเด็กมาเลี้ยงดู เดิมทีจะสามารถจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมได้เพียงฝ่ายเดียว ทำให้อีกฝ่ายไม่มีสิทธิตามกฎหมายในการดูแลเด็ก แต่ด้วยกฎหมายใหม่ ทั้งคู่สามารถจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ ทำให้มีอำนาจในการปกครองดูแลเด็กเท่าเทียมกัน

การเปลี่ยนแปลงยังครอบคลุมถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐที่เคยจำกัดไว้สำหรับคู่สมรสต่างเพศ เช่น หากข้าราชการที่เป็น LGBTQ+ เสียชีวิต คู่ชีวิตของเขาจะมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอด หรือกรณีที่คู่สมรสเจ็บป่วยหนัก อีกฝ่ายสามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาล และมีอำนาจตัดสินใจทางการแพทย์แทนได้ตามกฎหมาย สิทธิเหล่านี้ช่วยให้คู่รักทุกเพศสามารถดูแลกันได้อย่างเต็มที่เมื่อยามจำเป็น

ก้าวไหม่ ว่าด้วยการ 'ฟ้องชู้'

กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ได้ปรับปรุงถ้อยคำและหลักการให้สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเปลี่ยนจากคำว่า "สามีหรือภริยา" และ "ชู้สาว" เป็น "คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง" และ "ในทำนองชู้" เพื่อให้ครอบคลุมความสัมพันธ์ของคู่สมรสทุกเพศ ยกตัวอย่างเช่น

หากภรรยามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้หญิงอีกคน สามีมีสิทธิฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนได้ทั้งจากภรรยาและจากชู้ หรือในกรณีคู่รักชายที่จดทะเบียนสมรสกัน หากฝ่ายหนึ่งไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น อีกฝ่ายก็มีสิทธิฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนได้เช่นกัน


อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่า หากคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้อีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้ คู่สมรสฝ่ายนั้นจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้ เช่น หากสามียินยอมให้ภรรยามีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น หรือคู่รักหญิงฝ่ายหนึ่งรู้เห็นเป็นใจให้คู่สมรสของตนมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น กรณีเช่นนี้จะไม่สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้ เพราะถือว่าตนเองมีส่วนยินยอมให้เกิดการนอกใจขึ้น การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้จึงเป็นการสร้างความเท่าเทียมในการคุ้มครองความสัมพันธ์ของคู่สมรสทุกเพศ โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด

ความท้าทายในอนาคต เส้นทางสู่ความเท่าเทียมที่ยังต้องเดินต่อ

ถึงแม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้แล้ว แต่ยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นหลักที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ระบุไว้ ได้แก่ การแก้ไขกฎหมายเรื่องอัตลักษณ์และการรับรองเพศ การแก้ไขกฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดทางเพศ และการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ โดยคณะกรรมาธิการต้องจัดทำรายงานให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้

ประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคือการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการรับรองเพศและการเปลี่ยนคำนำหน้านาม เนื่องจากปัจจุบันบุคคลข้ามเพศยังไม่สามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนได้ แม้จะผ่านการผ่าตัดแปลงเพศแล้วก็ตาม นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์สำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ซึ่งต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสิทธิที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม

การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมในระดับรากหญ้าเป็นอีกความท้าทายสำคัญ แม้ผลสำรวจล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2567 จะแสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยซูเปอร์โพลระบุว่ากว่า 78% สนับสนุนการให้สิทธิแก่คู่รัก LGBTQ+ ในการจดทะเบียนสมรส แต่การขจัดการเลือกปฏิบัติและอคติในชีวิตประจำวันยังคงต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน

ด้วยเหตุนี้ การสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศผ่านระบบการศึกษาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้ครอบคลุมประเด็นความหลากหลายทางเพศ การอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับนักเรียนทุกเพศในสถานศึกษา 

นอกจากนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนยังต้องร่วมมือกันในการส่งเสริมนโยบายความหลากหลายและการยอมรับในที่ทำงาน เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริงในทุกมิติ

ก้าวใหม่ของสังคมไทย

การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงเป็นการรับรองสิทธิทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงวุฒิภาวะของสังคมไทยที่พร้อมจะก้าวข้ามอคติและความเหลื่อมล้ำทางเพศ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่สังคมที่เคารพในความหลากหลายและความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นชัยชนะของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเท่านั้น แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจของสังคมไทยที่ก้าวไปข้างหน้าสู่การเป็นสังคมที่เท่าเทียมมากขึ้น

สมรสเท่าเทียม "จุดเริ่มต้นของบทใหม่"  เมื่อความรักได้รับการยอมรับ

สรุปข่าว

วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของสังคมไทย เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เปิดโอกาสให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย พร้อมได้รับสิทธิและการคุ้มครองเทียบเท่าคู่สมรสต่างเพศ นับเป็นผลสำเร็จจากการต่อสู้อันยาวนานกว่า 13 ปีของภาคประชาสังคมและกลุ่มผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ