TNN ทรัมป์แสดงท่าทีหนุนติ๊กต้อก ให้ใช้งานในสหรัฐฯ ต่อไ้ด้อีกระยะหนึ่ง

TNN

World

ทรัมป์แสดงท่าทีหนุนติ๊กต้อก ให้ใช้งานในสหรัฐฯ ต่อไ้ด้อีกระยะหนึ่ง

ทรัมป์แสดงท่าทีหนุนติ๊กต้อก ให้ใช้งานในสหรัฐฯ ต่อไ้ด้อีกระยะหนึ่ง

โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีสนับสนุนให้ติ๊กต็อกดำเนินการในสหรัฐฯ ต่อไป

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 แสดงท่าทีในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคมว่า เขามีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้แอปพลิเคชันติ๊กต็อกยังคงดำเนินการในสหรัฐฯ ต่อไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยระบุว่าเขาได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้ติ๊กต็อกระหว่างการรณรงค์หาเสียงประธานาธิบดี และมีการชมคลิปจากแพลตฟอร์มนี้หลายพันล้านครั้ง


คำกล่าวของทรัมป์ที่กล่าวต่อหน้าผู้สนับสนุนฝ่ายขวาในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ว่าเขาต่อต้านการที่ติ๊กต็อกอาจต้องถอนตัวจากตลาดสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายที่บังคับให้บริษัทไบต์แดนซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของติ๊กต็อกต้องขายแอปพลิเคชันนี้ออกไป โดยอ้างถึงปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ


เจ้าของติ๊กต็อกได้พยายามที่จะให้กฎหมายนี้ถูกยกเลิก และศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้ตกลงที่จะพิจารณาคดีนี้ หากศาลไม่ตัดสินให้ไบต์แดนซ์ชนะ และไม่มีการขายกิจการเกิดขึ้น แอปพลิเคชันอาจถูกแบนในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม ซึ่งเป็นวันก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง


ยังไม่ชัดเจนว่า ทรัมป์จะดำเนินการอย่างไรในการยกเลิกคำสั่งการขายติ๊กต็อกซึ่งได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภาอย่างท่วมท้น นอกจากนี้ทรัมป์ยังบอกอีกว่า "พวกเขานำแผนภูมิมาให้ผมดู และมันเป็นสถิติที่น่าทึ่งมาก ๆ มันยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็น และในขณะที่ผมมองไปที่มัน ผมคิดว่าบางทีเราน่าจะต้องให้แอปนี้อยู่ต่อไปสักพัก'" 


ทรัมป์ได้พบกับซีอีโอของติ๊กต็อกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และในงานแถลงข่าวเดียวกันนั้น เขากล่าวว่าเขามีความรู้สึกดีต่อติ๊กต็อก เนื่องจากความสำเร็จในการหาเสียงของเขาบนแพลตฟอร์มนี้


กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้โต้แย้งว่า การควบคุมติ๊กต็อกโดยจีนเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นท่าทีที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติหลายคน


ขณะที่ติ๊กต็อกระบุว่า กระทรวงยุติธรรมได้กล่าวหาผิดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของแอปนี้กับจีน โดยชี้แจงว่า ระบบแนะนำเนื้อหาและข้อมูลผู้ใช้ของติ๊กต็อกถูกเก็บไว้ในสหรัฐฯ บนเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ที่ดำเนินการโดย Oracle Corp และการตัดสินใจเกี่ยวกับการควบคุมเนื้อหาสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ทำในสหรัฐฯ เอง

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง