เดโมแครตพ่ายทรัมป์ เพราะคามาลาไม่แข็ง หรือแคมเปญไม่น่าสนใจ ?
การพ่ายแพ้ของคามาลา แฮร์ริส และพรรคเดโมแครต ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เธอทำอะไรพลาดไป เป็นที่ตัวผู้สมัครหรือเป็นที่การวางยุทธศาสตร์หาเสียงของพรรคเดโมแครต ติดตามได้จากรายงานพิเศษ ความพ่ายแพ้ของคามาลา แฮร์ริส ต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้กำลังมีการตั้งถามว่าที่ผ่านมาเธอทำอะไรพลาดไป และอนาคตของพรรคเดโมแครตจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ สำนักข่าวบีบีซีวิเคราะห์ว่ามี 3 ปัจจัยที่ทำให้ แฮร์ริสปราชัยต่อ ทรัมป์
🔴ไบเดนคะแนนนิยมแย่และแฮร์ริส สลัดตนเองไม่หลุด
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวจากการลงชิงศึกประธานาธิบดีหลังทำผลงานย่ำแย่ในการประชันวิสัยทัศน์กับทรัมป์ และแฮร์ริสต้องมามรับบทบาทลงชิงแทนโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรค โดยเธอได้เริ่มต้นแคมเปญหาเสียง 100 วัน โดยให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ เธอพยายามระดมการสนับสนุจากผู้หญิงในประเด็นการทำแท้งเสรี และประกาศว่ามุ่งเน้นที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและที่พักอาศัยที่มีราคาแพง เพื่อเอาชนะผู้มีสิทธิออกเสียงชนชั้นทำงาน
ในตอนช่วงสามเดือนก่อนการเลือกตั้ง แฮร์ริสสามารถสร้างกระแสความนิยมได้มาก รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากบรรดาคนดัง เช่น เทย์เลอร์ สวิฟต์ ตลอดจนสามารถระดมเงินทุนได้มหาศาล แต่ทั้งหมดนี้ ก็ยังไม่สามารถลดทอนความขุ่นข้องหมองใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลไบเดนได้
ทั้งนี้ ไบเดนมีคะแนนนิยมอยู่ในระดับต่ำกว่า 40 มาตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งสี่ปี และผู้ตอบแบบสำรวจสองในสาม เชื่อว่า สหรัฐฯภายใต้การนำของไบเดนนั้นกำลังเดินไปผิดทาง
หลายคนวิจารณ์ว่า แฮร์ริสภักดีต่อไบเดนเกินไปจนไม่กล้าแสดงบทบาทล้ำหน้าไบเดน แต่จามาล ซิมมอนส์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของแฮร์ริส ระบุว่า หากแฮร์ริสตีตนออกห่างจากไบเดน ก็มีแต่จะทำให้ฝ่ายรีพับลิกันโจมตีเธอได้เช่นกันว่าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ แฮร์ริสจึงไม่สามารถถอยห่างจากไบเดนผู้ซึ่งไว้ใจเลือกเธอมาทำหน้าที่รองประธานาธิบดีเคียงข้างได้
อย่างไรก็ตาม แม้แฮร์ริสพยายามวางตัวให้สมดุลในเรื่องนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่กล้าแสดงวิสัยทัศน์อะไรที่สวนทางกับนโยบายของไบเดน นอกจากนี้เธอยังล้มเหลวที่จะทำให้คนอเมริกันเชื่อว่า แล้วทำไมต้องให้เธอบริหารประเทศ และเธอจะแก้ไขความไม่พอใจในเรื่องเศรษฐกิจของประชาชนได้อย่างไร ตลอดจนปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย
แม้ในการหาเสียง แฮร์ริสจะย้ำตลอดว่า รัฐบาลของเธอจะไม่ใช่รัฐบาลไบเดนสอง แต่เธอก็ยังไม่สามารถแสดงนโยบายของตัวเธอเองให้ชาวอเมริกันรับรู้ได้
ทั้งนี้ ผลการสำรวจของ NORC ของมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 9 ใน 10 คนระบุ กังวลเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วน 4 ใน 10 คนระบุว่า คนเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายควรต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
🔴 แฮร์ริสไม่สามารถรวบรวมเครือข่ายที่หนุนไบเดนได้
แต่เดิม ทีมหาเสียงของแฮร์ริสคาดหวังว่า จะรวบรวมฐานเสียงที่เคยโหวตให้ไบเดนจนชนะเลือกตั้งในปี 2020 ได้ นั่นก็คือ การได้เสียงจากกลุ่มคนผิวดำ ลาติโน และคนรุ่นใหม่ ตลอดจนคนชานเมืองที่มีการศึกษา
อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่า แฮร์ริสดึงคะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้ได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยเธอเสียเสียงจากกลุ่มคนลาตินไปมากถึง 13 จุด / คนดำ 2 จุด / และคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี 6 จุด
วุฒิสมาชิกอิสระ เบอร์นี แซนเดอร์ แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ชนชั้นทำงานทิ้งพรรคเดโมแครตแล้ว คนอเมริกันกำลังโกรธเคืองและต้องการความเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ แม้พรรคเดโมแครตนำประเด็นสิทธิในการทำแท้งมาชูในการหาเสียง แต่ผลเลือกตั้งกลับพบว่า ผู้หญิงที่มีสิทธิออกเสียงราว 54% เลือกโหวตให้แฮร์ริส ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากเดิม 57% ที่เคยลงคะแนนเลือกไบเดนในรอบที่แล้ว
🔴 ยุทธศาสตร์มุ่งโจมตีทรัมป์สะท้อนกลับ
การหาเสียงของแฮร์ริส พยายามชูว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คือการทำประชามติเกี่ยวกับทรัมป์ ไม่ใช่ไบเดน
และแฮร์ริส ซึ่งเป็นอดีตอัยการ เน้นย้ำประสบการณ์ของเธอในการบังคับใช้กฎหมาย ที่จะมาดำเนินคดีต่อทรัมป์
แคมเปญหาเสียงของแฮร์ริสยังมุ่งมั่นโจมตีทรัมป์ว่า เป็นภัยคุกคามค่อประชาธิปไตย และเน้นย้ำถึงอันตรายของการเป็นประธานาธิบดีรอบที่สองของทรัมป์ โดยเรียกทรัมป์ว่าเป็นฟาสซิสต์ และบอกว่าคนรีพับลิกันที่แปรพักตร์ต่างเบื่อหน่ายกับวาทกรรมต่างๆของทรัมป์
แฟรงค์ ลุนตซ์ ผู้จัดทำโพลของรีพับลิกัน มองว่า แฮร์ริสแพ้การเลือกตั้ง เพราะเธอมุ่งมั่นโจมตีทรัมป์มากเกินไปในการหาเสียงเกือบทั้งหมด ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทรัมป์หมดแล้ว และพวกเขาอยากรู้เกี่ยวกับแผนการทำงานของแฮร์ในวันแรก เดือนแรก และปีแรกที่บริหารประเทศมากกว่า ซึ่งนี่คือความผิดพลาดอันมหันต์ของทีมหาเสียงแฮร์ริสที่ไปฉายสปอตไลท์ให้ทรัมป์มากกว่า ความคิดของแฮร์ริสเอง
ขณะเดียวกันสำนักข่าวบีบีซียังสรุปบทเรียนครั้งนี้ว่า ความล้มเหลวในการระดมแรงสนับสนุนที่แฮร์ริสจำเป็นต้องได้เพื่อเอาชนะทรัมป์ ตลอดจนการที่ผู้มีสิทธิออกเสียงเมินพรรคเดโมแครต สะท้อนได้ว่า พรรคเดโมแครตกำลังเผชิญปัญหาลึกกว่าที่คิด ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องประธานาธิบดีที่ไม่เป็นที่นิยมเท่านั้น
ข่าวแนะนำ