เพราะเหตุใดชาวลาตินโหวตให้ “ทรัมป์” จนช่วยส่งให้เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง แม้ว่าเขาและทีมงานจะเคยดูถูกประเทศกลุ่มลาตินอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม
เว็บไซต์ The Conversation เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ได้รับคะแนนเสียงจากชาวลาตินและกลุ่มฮิสแปนิกมากขึ้นจนทำให้เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือ คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต โดยสถิติการลงคะแนนของชาวลาตินเพิ่มขึ้นเป็น 45% ทั่วประเทศ จากเดิมที่เขาได้รับคะแนนเสียงจากกลุ่มคนลาตินและฮิสแปนิกเพียง 32% ในการเลือกตั้งปี 2020 ที่เขาพ่ายแพ้ให้กับ โจ ไบเดน
ในขณะที่ฝั่งแฮร์ริส การเลือกตั้งครั้งนี้เธอได้รับคะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้ประมาณ 53% ลดลงจากที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้ว่าเธอน่าจะได้รับคะแนนเสียงจากชาวลาตินถึง 60% ซึ่งเป็นสถิติเดียวกับที่เคยโหวตให้ไบเดนเมื่อปี 2020
The Conversation ยังได้ยกตัวอย่างผลการเลือกตั้งในเวบบ์ เคาน์ตี (Webb County) ของรัฐเท็กซัสที่มีชาวลาตินและฮิสแปนิกอาศัยอยู่ถึง 95.4% โดยเมื่อปี 2020 คนกลุ่มนี้เลือกพรรคเดโมแครต 61 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เลือกพรรครีพับลิกันเพียง 38 เปอร์เซ็นต์ แต่ในปีนี้ พวกเขากลับเลือกรีพับลิกันเพิ่มเป็น 51% และเลือกพรรคเดโมแครตลดลงเหลือ 49%
การเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเหล่านี้น่าสนใจและกลายเป็นความสําเร็จทางการเมืองของพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์และจากคําพูดเหยียดเชื้อชาติที่โจ่งแจ้งบ่อยครั้งของทรัมป์และทีมงานที่แสดงออกว่าเป็นปรปักษ์ต่อชุมชนลาตินและฮิสแปนิก แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังมีแนวคิดว่าที่พวกเขาต้องอพยพออกมาจากประเทศบ้านเกิดนั่นก็เพราะต้องการ “หนีความยากจน” และหันมาใช้ชีวิตท่ามกลางความเจริญรุ่งเรืองใน “ดินแดนแห่งอิสรภาพ"
และทรัมป์ผู้ที่สัญญาว่าจะกลับมาดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น และสามารถจูงใจคนได้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในวันที่ไม่มีเขาเป็นผู้นำนั้นล้มเหลว จึงไม่ยากที่เขาจะได้รับคะแนนเสียงจากชุมชนลาตินและฮิสแปนิกที่ยังต้องการให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลับมารุ่งเรืองที่สุด
ด้านนักวิเคราะห์และผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งออกมาเผยว่า แม้สถิติเหล่านี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญแต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากหากพิจารณาจากความนิยมในหมู่ชาวลาตินจะพบว่าความนิยมของเดโมแครตต่อชุมชนนี้ลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แม้ทรัมป์จะมีคำพูดมากมายที่เป็นการดูถูกชาวลาติน แต่กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวลาตินและฮิสแปนิก 63 % บอกว่าพวกเขาไม่รู้สึกว่าทรัมป์กําลังพูดถึงพวกเขา เมื่อทรัมป์พูดถึงปัญหาผู้อพยพและการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งสอดคล้องกับที่ Aljazeera กล่าวโดยอ้างนักวิเคราะห์ว่าในมุมมองของชาวลาตินพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่า การย้ายถิ่นฐานนั้นคือสิ่งที่ "ดี" หรือ “ไม่ดี” ขณะเดียวกันชาวลาตินจำนวนมากที่อาศัยอย่างถูกกฎหมายก็มองว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนทําให้เกิดอาชญากรรมเหมือนที่ทรัมป์กล่าว จึงทำให้พวกเขาไม่ได้สนใจว่าทรัมป์จะมีนโยบายอะไรเพื่อจัดการการอพยพยหรือย้ายถิ่นฐานผิดกฎหมาย ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ได้ต่อต้าน แต่ยังลงคะแนนให้ทรัมป์อีกด้วย
อีกหนึ่งสาเหตุที่น่าสนใจ คือ The Conversation และ Aljazeera กล่าวตรงกันว่าชาวลาตินและฮิสแปนิก อาจหลงเชื่อในสิ่งที่ทรัมป์กล่าวหาแฮร์ริสว่าเธอเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งคำกล่าวหานี้ทรัมป์ได้โพสต์ลง X ส่วนตัวของเขาจนมียอดวิวมากถึง 81 ล้านครั้ง จนสร้างความกลัวให้กับชุมชนดังกล่าวโดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศของระบอบเผด็จการอย่าง คิวบา เวเนซุเอลา และนิการากัว ข้อความพวกนี้ของทรัมป์ ชวนให้นึกถึงความทรงจําของสถานการณ์เลวร้ายที่พวกเขาหลบหนีมา
การที่ทรัมป์ใช้ความกลัวที่ดูเป็นปมฝังรากลึกในจิตใจเกี่ยวกับระบบ "คอมมิวนิสต์" มาเรียกคะแนนเสียงให้ตัวเอง นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสําเร็จอย่างมาก จนสามารถทำให้ชาวลาตินรู้สึกว่าแฮร์ริสเป็นภัยคุกคามของพวกเขาจนเปลี่ยนใจมาเลือกทรัมป์
ในขณะที่ประเด็นเรื่อง “เพศ” กลายมาเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ชนะ ไม่เว้นแม้แต่ในชุมชนลาตินและฮิสแปนิก โดยทรัมป์ดึงดูดให้ชายหนุ่มที่หวาดกลัวว่าพวกเขาจะสูญเสียสิทธิพิเศษและผู้หญิงจะขึ้นมามีผลประโยชน์เทียบเท่าพวกเขาให้มาเลือกตัวเองได้สำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ต่อต้านนโยบายความเท่าเทียมต่าง ๆ ของฝั่งแฮร์ริสและพวกเขาก็มองว่าแฮร์ริส คือ “ผู้หญิงชั่วร้าย” ซึ่งจากโพลสำรวจของ AP เผยว่า 47% ของผู้ชายลาตินสนับสนุนทรัมป์ในการเลือกตั้งเมื่อเทียบกับ 38% ในฝั่งผู้หญิงลาติน ในขณะที่โพลออกของ NBC News ประเมินว่า 54% ของผู้ชายละตินทั่วประเทศโหวตให้ทรัมป์และ 44% สนับสนุนแฮร์ริส
ทั้งนี้ ชาวลาติน หมายถึงกลุ่มผู้อพยพจากประเทศกลุ่มลาตินอเมริกาที่ได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานและสร้างครอบครัวรุ่นต่อรุ่นในสหรัฐฯ และกลุ่มฮิสแปนิกซึ่งหมายถึงประชากรในสหรัฐฯ ที่มีรากฐานมาจากประเทศที่ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาหลัก