หุ้นไทยดิ่ง 32.56 จุดผวาเฟดเร่งสปีดขึ้นดอกเบี้ย
หุ้นไทยแดงยกแผงร่วง 32.56 จุด ผวาเฟดขึ้นดอกเบี้ยร้อนแรงสกัดเงินเฟ้อ มองแนวโน้มพรุ่งนี้ผันผวน จากปัจจัยลบกระหน่ำทั้ง Inverted yield curve-เก็บภาษีหุ้น ชู 3 หุ้นหลบภัย
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,600.06 จุด ลบ32.56 จุดหรือ 1.99 % ระหว่างวันซื้อขายสูงสุด 1,616.31 จุด และต่ำสุดที่ 1,599.34 จุด มูลค่าการซื้อขาย 73,466.76 ล้านบาทว่าตลาดหุ้นไทยปิดลบสอดรับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปิดแดงยกแผง เช่น เกาหลีใต้ลง 3.5%ฮ่องกงลง 3.4% เป็นผลมาจากแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้ตลาดพุ่งสูงแตะ 8.6% จากที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 8.3%
ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เฟดเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่าในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดดอกเบี้ยจะปรับขึ้นครั้งละ 0.75% สำหรับการประชุมอีก 3 ครั้ง จากเดิมที่คาดว่าจะขึ้นครั้งละ 0.5% ส่วนหุ้นที่กดตลาดนำโดยพลังงาน แบงก์ โรงกลั่น และชิ้นส่วนอิเล็ก
ทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของหุ้นในวันนี้ถือว่ามากสุดเป็นอันดับ 3 ของปีนี้
สำหรับปัจจัยที่ติดตามนอกจากผลประชุมเฟดแล้ว จะต้องติดตาม Inverted yield curve อัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว หรือไม่ เพราะปัจจุบันพันธบัตรอายุ 2 ปีสหรัฐอยู่ที่ 3.21% และอายุ 10 ปีอยู่ที่ 3.23 % ซึ่งหากเกิด Inverted yield curve จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอยและเป็นปัจจัยลบต่อตลาด
นอกจากนี้เกาะติดผลประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(บีโออี) คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง 0.25%เป็น 1.25% รวมถึงการเก็บภาษีหุ้น 0.1% ของมูลค่าที่ขายของกระทรวงการคลัง โดยจะGrace period ไม่เกิน 90 วัน ถ้าเก็บภาษีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันรัฐจะมีรายได้ 8,600 ล้านบาท
แต่ถ้าจัดเก็บเต็มปีรัฐจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาทจะเป็นแรงกดดันให้ตลาดซื้อขายน้อยลงจะต้องติดตามใกล้ชิด
ทั้งนี้มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกและไม่ให้เงินบาทอ่อนค่ามากนัก ซึ่งหากขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะกดดัชนีร่วง 88 จุด และถ้าขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งครั้งละ 0.25% ดัชนีจะร่วง 240 จุด เพราะในอดีตส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯและไทยจะห่างกันไม่เกิน 1% ถ้าไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ยส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะมากกว่าไทยถึง 3%
ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่มีเกราะป้องกันเงินเฟ้อ นำโดย BLA ราคาเป้าหมาย 52 บาท รับผลบวกจากบอนด์ยีลด์มีทิศทางขาขึ้น BBL ราคาเป้าหมาย 152 บาท เนื่องจากมีฐานลูกค้ารายใหญ่หากเทียบกับแบงก์อื่นและดอกเบี้ยคิดแบบลอยตัว
หุ้นตัวสุดท้ายคือ TRUE ราคาเป้าหมาย5.7 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันต่ำกว่าการทำเทรนเดอร์อยู่ที่ 5.09 บาทมีอัพไซด์ ประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 1,600 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,580 จุด แนวต้านแรกที่ 1,615 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,630 จุด
ที่มา : นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส
ภาพประกอบ : บล.เอเซีย พลัส