TNN เงินบาทอ่อนนิวไฮทำจุดสูงสุดใหม่ นักลงทุนแห่ถือดอลลาร์

TNN

Wealth

เงินบาทอ่อนนิวไฮทำจุดสูงสุดใหม่ นักลงทุนแห่ถือดอลลาร์

เงินบาทอ่อนนิวไฮทำจุดสูงสุดใหม่ นักลงทุนแห่ถือดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่านิวไฮจุดสูงุสุดใหม่รอบ 4 ปี 2 เดือน นักลงทุนแห่ถือดอลลาร์สหรัฐรองรับความผันผวนจากความเสี่ยงเอเวอร์แกรนด์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการทำสถิติใหม่ในรอบ 4 ปี 2 เดือน 


สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทระยะสั้น ยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้และปัจจัยเสี่ยงด้านอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังมีโมเมนตัมหนุนการแข็งค่าอยู่จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนของผู้เล่นในตลาด 


อย่างไรก็ตามหากไม่มีปัจจัยเสี่ยงในประเทศเข้ามาซ้ำเติมการอ่อนค่าของเงินบาทที่อาจจะส่งผ่านมาจากแรงเทขายสิน ทรัพย์โดยนักลงทุนต่างชาติ  เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าว ก็มีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่าไปได้ถึงแนวต้านถัดไปในช่วง 34.25  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


อย่างไรก็ดี หากตลาดการเงินโดยรวมเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็จะช่วยลดโมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ลง และช่วยให้เงินบาทจะสามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่เงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมากนัก จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะเห็นพัฒนาการข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้นชัดเจน โดยแนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.40-33.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.05 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


ผู้เล่นในตลาดการเงินมีความพยายามเข้ามาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงหลังมีการย่อตัวลงหนักติดต่อกันหลายวัน (Buy on DIp) ทว่า บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ แต่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง) แม้ว่า บรรดาประธานและผู้ว่าธนาคารกลางหลัก อาทิ Fed, ECB, BOJ และ BOE จะพยายามส่งสัญญาณว่า เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงชั่วคราว 


นอกจากนี้ ตลาดยังเผชิญ ความวุ่นวายทางการเมืองสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนหนักได้ หลังสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นขยายเพดานหนี้ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้ภายในวันที่ 18 ต.ค.


เนื่องจากตลาดการเงินโดยรวมยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ทำให้ในฝั่งตลาดสหรัฐฯ ดัชนี Dowjones รีบาวด์ขึ้นมาเพียง +0.26% เช่นเดียวกันกับ ดัชนี S&P500 ที่ปิดตลาด +0.16% ในขณะที่ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ยังไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้ และย่อตัวลง -0.24%   



ทางด้านตลาดยุโรป ดัชนี STOXX50 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นราว +0.53% หนุนโดยหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ Airbus +3.5%, Volkswagen +3.4%, ING +2.7%, Santander +2.5% ส่วนหุ้นเทคฯ ยังคงเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ASML -2.6%, Infineon Tech. -1.1% 


ในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวังตัวและบางส่วนยังต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรับมือความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงการเมืองสหรัฐฯ หากสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 4bps สู่ระดับ 1.51% 


ทั้งนี้มองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงผันผวนและมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ตามแนวโน้มการทยอยปรับลดคิวอีของเฟดที่จะกลับมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะถัดไปเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง


ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงเดินหน้าแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก และทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่เดือนพ.ย. 2020 หนุนโดยความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรับมือกับความผันผวนในตลาด   จากปัจจัยเสี่ยงเดิม อาทิ ประเด็น Evergrande   


รวมถึงความกังวลภาวะ Stagflation และ ปัจจัยเสี่ยงล่าสุดอย่าง การเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอล ลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 94.34 จุด กดดันให้ ค่าเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงหลุดระดับ 1.16 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน (JPY) ก็อ่อนค่าแตะระดับ 111.9 เยนต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังกดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่องแตะระดับ 1,729 ดอลลาร์ต่อออนซ์


สำหรับวันนี้มองว่า ตลาดจะจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังทางการสามารถคุมการระบาดของ Delta ได้และเริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ซึ่งตลาดประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและการบริการจะกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนก.ย.ที่จะขยับขึ้นสู่ระดับ 50.2 จุด และ 50.8 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) 


อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนอาจชะลอได้ หากปัญหาหนี้ Evergrande ส่งผลกระทบรุนแรงและลุมลามไปยังภาคเศรษฐกิจจริง รวมถึง ภาวะขาดแคลนพลังงานในจีนที่ส่งผลให้เกิดวิกฤติไฟดับ ทำให้หลายโรงงานไม่สามารถเดินหน้ากำลังการผลิตได้เต็มที่ ซึ่งล่าสุด ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวต่อเศรษฐกิจจีนได้ทำให้เริ่มมีนักวิเคราะห์ปรับประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนลดลง ต่ำกว่า +8% ในปีนี้ 




ที่มา : นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย 


ภาพประกอบข่าว :พิกซาเบย์

ข่าวแนะนำ