เอาเงินออกไปลงทุนอย่างไร เมื่อ ‘ทรัมป์’ รีเทิร์น
เอาเงินออกไปลงทุนอย่างไร เมื่อ ‘ทรัมป์’ รีเทิร์น โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
สิ้นสุดการรอคอยไปแล้ว สำหรับการชิงชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของโลกและสหรัฐฯ ด้วยการคว้าชัยชนะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ไม่ใช่แค่นั้น และต่อด้วยการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ได้ปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
หลายคนก็ถามผมมาว่า ใกล้สิ้นปีแล้วจะจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรดี ปีนี้เป็นอีกปีที่ความผันผวนเยอะไปหมดจนหลายคนบ่นอุบ ไม่ว่าจะหุ้นในหลายๆ ประเทศที่พุ่งขึ้นแล้วไหลลงเหมือนรถไฟเหาะจนมึนไปหมด บางคนก็โชคดีพอร์ตรวมๆ ออกมาเป็นบวก แม้จะมีบางสินทรัพย์ไม่ดีแต่ก็มีบางสินทรัพย์ที่ทำกำไรมาช่วยดึง
ผมจะมาอัพเดตโค้งสุดท้ายนี้ บรรยากาศการลงทุนจะเป็นอย่างไร โอกาสลงทุนดีๆยังมีอยู่ไหม หลายคนขอเคล็ดลับจัดพอร์ตให้มีกำไร ผมจะจัดให้ในช่วงท้ายๆ นะครับ
โลกจับจ้อง รอโอกาสลงทุนหลังการเมืองชัด
ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จะเป็นช่วงที่ตลาดการเงินของโลกจะมีความผันผวนมากครับ แน่นอนว่าผลชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นตัวแปรที่กำหนดทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า การเลือกตั้งที่สิ้นสุดลงช่วยสร้างความชัดเจนให้กับตลาดการลงทุนในระดับหนึ่ง แม้ผลกระทบระยะสั้นจากการที่นายทรัมป์ ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง อาจจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนขึ้นลงได้บ้าง เพราะด้วยบุคคลิกของนายทรัมป์ที่ค่อนข้างแข็งกร้าวในการดำเนินนโยบายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ แต่ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะผันผวนในขาขึ้น
ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกมองจุดเปลี่ยนการเมืองสหรัฐฯ มีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงิน และการที่ 'โดนัลด์ ทรัมป์ ' ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Republican Sweep) มีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะเร่งสูงขึ้นจากมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าและมาตรการกีดกันแรงงานอพยพ อาจส่งผลให้เฟดอาจไม่สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้เท่าที่ควรในระยะข้างหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังมีความหนืดอยู่
ขณะที่ข้อมูลสำคัญในตลาดแรงงานชี้วัดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เพิ่งออกมาเร็วๆ นี้ ส่งผลให้มุมมองของตลาดเปลี่ยนไป โดยนักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี
ในการประชุมวันที่ 6-7 พ.ย. ที่ผ่านมาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ มีมติเอกฉันท์ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 71.3% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. และให้น้ำหนัก 54.0% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนม.ค.2568 นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 46.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนมี.ค.2568
แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุในรายงาน World Economic Outlook ฉบับเดือนต.ค. 2567 โดยคาดการณ์ว่า ปี 2567 นี้ เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.8% ลดลงเล็กน้อยจาก 2.9% ในปีที่แล้ว โดยการเติบโตที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ และในปี 2568 คาดการณ์ GDP โตชะลอตัวอยู่ที่ 2.2% เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การบริหารของประธานาธิบดีและรัฐสภาชุดใหม่ อีกทั้งยังคาดว่า ตลาดแรงงานจะสูญเสียโมเมนตัมในปีหน้า เนื่องจากรัฐบาลเริ่มพยายามควบคุมการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลด้วยการชะลอการใช้จ่าย การเพิ่มภาษี หรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน
ทั้งนี้หากพิจารณานโยบายของนายโดนัลด์ทรัพป์ที่ได้ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงนั้น มีแนวโน้มจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% มาอยู่ที่ 20% และในอนาคตจะลดมาเหลือ 15% ซึ่งหากสามารถทำได้จริง ก็จะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้แนวโน้มเงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีนโยบายตั้งกำแพงภาษี และนโยบายการกีดกันผู้อพยพของนายทรัมป์อาจจะช่วยให้คนอเมริกันมีรายได้ และใช้จ่ายอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นและเมื่อเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นก็จะเติบโตไปด้วยนั่นเอง
ในการลงทุนระยะยาวนั้น หากพิจารณาข้อมูลย้อนหลังดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 2471-2559 พบว่าภายหลังการเลือกตั้ง 19 ครั้ง หรือ 83% ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น โดยปีที่ได้ประธานาธิบดีจากพรรค Republican ตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนเป็นบวก 15.30% และหากเป็นพรรค Democrat จะมีผลตอบแทนเป็นบวก 7.6% ดังนั้นในระยะยาวตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็จะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นได้ และผมเองก็เชื่อว่าจะได้เห็นตลาดหุ้นสหรัฐทำ all time high ได้เสมอ
@ เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า กระทบต้นทุนการลงทุนในอนาคต
ในช่วงโค้งท้ายปีนี้ ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและค่าเงินบาทในช่วงนับจากนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปีนี้เป็นปีที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูงมากๆ และหนักไปทางแข็งค่ามาก ซึ่งปัจจัยหลักๆ มาจากค่าเงินดอลลาร์ หลังจากที่เฟดคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูงสุด 5.00-5.25% และดอกเบี้ยไทยยืนอยู่ที่ระดับ 2.50% (ส่วนต่างดอกเบี้ย 2.50%-2.75%)
โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 ค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าจนปลายเดือนเมษายน ทะลุแนว 37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกเงินบาทอ่อนค่าราว 7% มากที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเซีย หรือเป็นรองเพียงเงินเยนของญี่ปุ่น
ส่วนในช่วงกลางปี เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามหลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณแนวโน้มการลดดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น ทำให้ครึ่งปีหลัง เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าหลุดแนว 34 บาท/ดอลลาร์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนถึง 31 ตุลาคม 2567 ปิดตลาดที่ 33.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือน อย่างไรก็ตาม ค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคก็ได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวตามๆ กันครับ
อย่างไรก็ตามภายหลังการเลือกตั้ง เชื่อว่าเราจะได้เห็นเม็ดเงินที่ไหลเข้าสหรัฐฯ จากการผลักดันนโยบายต่างๆ หลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายทรัมป์ เราจะได้เห็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น กระทบต่อค่าเงินบาทที่จะอ่อนค่าเร็วได้ด้วย ประกอบกับ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่คาดการณ์จะปรับลดลงในปีหน้าด้วย จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทยแคบลงได้ในระดับหนึ่ง
ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ตลาดยังคาดการณ์ว่า ในระยะต่อไป กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือน มี.ค. ปีหน้า และให้โอกาสราว 80% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือน มิ.ย. ปีหน้า สิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% ซึ่งจะทำให้ปีหน้า ส่วนต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ อยู่ที่ 1.5% ซึ่งส่วนต่างที่แคบลงจะมีนัยต่อการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้นหากพิจารณาในแง่ของค่าเงินที่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระทบกับผลตอบแทนการลงทุน หากนักลงทุนเห็นภาพแล้วว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลง อาจกระทบต่อต้นทุนการลงทุนให้ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นักลงทุนก็ควรใช้โอกาสนี้ในการลงทุนก่อนที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงได้อีก ผมจึงย้ำว่า นอกจากความชัดเจนในเรื่องผลการเลือกตั้งแล้ว เมื่อได้เห็นว่าค่าเงินบาทในอนาคตจะอ่อนค่าลง เวลานี้จึงถือเป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นะครับ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณคงอยากถามว่า แล้วเราควรจะบริหารจัดการพอร์ตลงทุนอย่างไรดี ให้มีความทนทานและยืดหยุ่น เพื่อให้ระยะยาว พอร์ตยังคงเติบโตต่อไปได้ตามแนวทางของนักลงทุนสาย VI
@ จัดพอร์ตให้สมดุล-DCA ช่วยปลดล็อคตลาดผันผวน
จริงอยู่ว่า ‘ค่าเงิน’ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อมูลค่าของพอร์ต แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครควบคุมได้ เพราะมีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างความผันผวน สภาพไม่ต่างจากหุ้นครับ แต่ไม่ว่า ‘เงินบาท’ จะแข็งหรืออ่อน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือน่ากลัวอะไรเลยครับ เพราะเรามีเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยควบคุมความเสี่ยงให้ลดลงได้ นั่นก็คือวิธีการลงทุนถัวเฉลี่ย หรือ DCA ที่จะช่วยให้เราฝ่าความผันผวนต่างๆ ไปได้ ไม่ว่า ค่าเงินจะแข็งหรือจะอ่อนค่า ล้วนสร้าง ‘โอกาส’ การลงทุนให้กับคุณ
และอีกเครื่องมือสำคัญนอกจาก DCA ก็คือ การกระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ (Asset Alocation) ตัวช่วยปรับระดับความเสี่ยงการลงทุนให้อยู่ระดับเหมาะสมเท่าที่คุณรับไหว
เพราะทุกวันนี้ โลกการลงทุนไม่ว่าสินทรัพย์ไหนๆ ก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เคยปลอดภัยมีความเสี่ยงต่ำมากๆ แต่วันนี้ก็เผชิญกับความผันผวนเช่นกัน ความเสี่ยงต่างๆ ที่เข้ามาเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เปรียบเสมือนฝนฟ้าอากาศ
การจัด Asset Alocation ที่ดี มักให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เพราะจะทำให้พอร์ตโดยรวมของคุณจะมีความผันผวนเพียงเล็กน้อย และเมื่อใดที่เกิดวิกฤติขึ้น ไม่ว่าจะกี่วิกฤติก็ตาม พอร์ตของคุณก็จะมีสินทรัพย์บางตัวที่ให้ผลตอบแทนได้ ในขณะที่สินทรัพย์อีกตัวอาจย่ำแย่
ผมจะเน้นย้ำกับลูกค้าทุกคนเสมอว่า การจัดพอร์ตที่กระจายการลงทุนและ DCA อย่างน้อยลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป หรือ 10 ปี แม้ระหว่างทางจะเผชิญกับกระแสลบ ไม่ว่าเป็นช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์เปลี่ยนแปลง กระทบเงินบาทจะแข็งหรืออ่อนก็ตาม สหรัฐฯ ะเปลี่ยนประธานาธิบดีคนใหม่อีก สงครามการค้า สงครามต่างๆ หรือเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้เติบโต หรืออีกหลายๆปัจจัยที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อข่าวร้ายผ่านไปแล้ว พอร์ตของคุณที่อึดทนด้วยสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอยู่จริง สุดท้ายสินทรัพย์เหล่านี้ก็จะยังสามารถสร้างผลตอบแทนให้คุณมีกำไรเติบโตต่อเนื่องยาวๆครับ
การสร้างพอร์ตให้สมดุลทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก
เพราะแม้แต่คุณปู่ Warren Buffet นักลงทุนสาย VI ระดับโลก เมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีการปรับพอร์ตให้บาลานซ์ เมื่อเห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นการลงทุนอย่างมีวินัย และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายในระยะยาว
ช่วงโค้งท้ายปี คุณได้ตรวจสุขภาพพอร์ตลงทุนเหมือนปู่ Buffet หรือยังครับ เพราะนับจากนี้โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง ใต้เงาโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศไปอีก 4 ปีข้างหน้านี้
เมื่อใดที่คุณขยันทำการบ้านดูแลพอร์ตลงทุนอย่างมีวินัย กระจายการลงทุนให้สมดุลสอดคล้องกับเป้าหมายในระยะยาว ความเสี่ยงการลงทุนของคุณจะลดลงได้ครับ
และผมมั่นใจว่า คุณจะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ตามเป้าหมายเหมือนปู่ Buffet ครับ ผมฟันธงเลยครับ
ข่าวแนะนำ