TNN วิจัยกสิกรฯ ชี้ลูกหนี้ได้อานิสงส์หลังแบงก์ลดดอกกู้

TNN

Wealth

วิจัยกสิกรฯ ชี้ลูกหนี้ได้อานิสงส์หลังแบงก์ลดดอกกู้

วิจัยกสิกรฯ ชี้ลูกหนี้ได้อานิสงส์หลังแบงก์ลดดอกกู้

วิจัยกสิกรฯ ชี้ลูกหนี้ได้อานิสงส์หลังแบงก์ลดดอกกู้ ช่วยลดภาระหนี้ราว 1.3 พันลบ.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% โดยให้มีผลต้นเดือน พ.ย. 67 พร้อม ๆ กับต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางไปจนถึงสิ้นปี 67 หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 67 (จากระดับ 2.50% มาที่ 2.25%)


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลไกการส่งผ่านต้นทุนทางการเงินที่ปรับผ่อนคลายลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มาสู่ตลาดสินเชื่อ โดยคาดว่าสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนสิ้นปี 67 จะอยู่ที่ประมาณ 40.9% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย


ขณะที่ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวของธนาคารพาณิชย์ในรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อย และภาคธุรกิจปรับลดลงเกือบ 1,300 ล้านบาท (คำนวณผลของภาระดอกเบี้ยที่จะปรับลดลงเฉพาะช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 67 โดยยังไม่ได้นับรวมสินเชื่อส่วนที่จะเข้าสู่ช่วงการปรับอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า)


อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขนาด 0.25% น่าจะยังไม่มีผลต่อการปรับค่างวดผ่อนหนี้ในแต่ละเดือน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่ได้ทำให้สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ของลูกหนี้ปรับลดลงในทันที


ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะสัญญาสินเชื่อทั่วไปของลูกหนี้รายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกันในช่วงสัญญาอัตราดอกเบี้ยลอยตัว และสินเชื่อเพื่อการลงทุนในกรณีของสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs จะมีการกำหนดยอดผ่อนต่อเดือนที่คงที่ (ประกอบด้วยผ่อนดอกเบี้ย+เงินต้น) ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะมีผลในการลดยอดผ่อนดอกเบี้ย


แต่ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินจะเพิ่มยอดหักเงินต้นให้ ดังนั้น ประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับจะอยู่ในรูปของการปิดสัญญาหนี้ก้อนนั้นได้เร็วขึ้น ขณะที่ลูกหนี้ยังต้องสำรองเงินเพื่อรองรับการผ่อนชำระเงินงวดในแต่ละเดือนไว้เช่นเดิม


นอกจากนี้ หากลูกหนี้ต้องการลดภาระรายจ่ายโดยรวมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจต้องอาศัยการลดค่าใช้จ่ายรายการอื่น ๆ ร่วมด้วย โดย 3 ลำดับแรกของรายจ่ายครัวเรือน ได้แก่ หมวดอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบ หมวดที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ภายในบ้าน และหมวดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะและการเดินทาง


ขณะที่ 3 ลำดับแรกของต้นทุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ได้แก่ หมวดวัตถุดิบ หมวดแรงงาน และหมวดค่าเช่าสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวล้วนเป็นหมวดที่ใหญ่กว่ารายจ่ายดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ


สำหรับภาพรวมทั้งปี 67 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อของระบบแบงก์ไทยอาจปิดปี 67 ในระดับไม่เกิน 1.5% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เริ่มปรับลดลงมาตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายนั้น เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเบิกใช้สินเชื่อ


ขณะเดียวกัน ประเมินว่า ทั้งผู้กู้รายย่อยและภาคธุรกิจจะพิจารณาปัจจัยแวดล้อมในด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะสถานการณ์และแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมในระยะข้างหน้า ที่กระทบแผนการลงทุน การบริโภค รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต ก่อนที่จะเบิกใช้สินเชื่อด้วยเช่นกัน


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง