ทองคำทำ all-time high จากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำโลกเดินหน้าทำ all-time high ใหม่ ซึ่งราคาทองคำโลกได้ทะลุ 2,700 ดอลลาร์ ไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,722 ดอลลาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำโลกเดินหน้าทำ all-time high ใหม่ ซึ่งราคาทองคำโลกได้ทะลุ 2,700 ดอลลาร์ ไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,722 ดอลลาร์ ทั้งนี้ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวขึ้นกว่า 31.9% ในปีนี้ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศปรับตัวขึ้นกว่า 26.44% เนื่องจากราคาทองคำมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางขยายวง ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังใกล้มาถึงในช่วงต้นเดือนพ.ย. และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง
ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง สร้างแรงซื้อทองคำเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง
แม้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเขียนถึงดัชนีตัวหนึ่งที่ใช้วัดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาตร์ นั่นคือ Geopolitical Risk Index (GPR) หรือ GPR index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดระดับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ซึ่ง GPR จะแสดงให้เห็นว่าความสนใจของตลาดและสังคมโลกต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อยู่ในระดับใดในช่วงเวลานั้น หากดัชนีพุ่งสูงขึ้น แสดงว่ามีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีผลกระทบสูง เช่น สงคราม การก่อการร้าย หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งจากข้อมูลในอดีต GPR index เคยพุ่งสูงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเหตุการณ์ 9/11 สงครามอิรัก สงครามอ่าวเปอร์เซีย (Gulf War) การรุกรานของรัสเซียในยูเครน การวางระเบิดที่ลอนดอน หรือเหตุการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สถานการณ์ในตะวันออกกลางนั้น ค่าดัชนี GPR index ยังถือว่าไม่ได้พุ่งสูงมากนัก แม้แต่เกิดเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางขยายวง แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตอย่างเช่นช่วงที่เกิดการรุกรานของรัสเซียในยูเครน ดัชนีดังกล่าวไม่ได้พุ่งสูงเท่ากับเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสนใจของตลาดและสังคมโลกต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่ได้สูงมาก แต่ด้วยปัจจัยบวกหลายประการ ซึ่งที่ผ่านมานั้นทองคำมีแต่ปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน มากกว่าปัจจัยลบ และด้วยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ อย่างเช่น สงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังดำเนินอยู่ และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง จึงได้สร้างแรงซื้อทองคำเข้ามาเป็นปัจจัยเพิ่มเติมสนับสนุนอยู่
ความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนนำ
จากผลสำรวจหลายสำนักล่าสุดพบว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนำเหนือกมลา แฮร์ริส ไม่ว่าจะเป็น PredictIt , PolyMarket , RealClearPolitics , Betfair, Smarkets, Betsson, Bavada และ Bwin ซึ่งตลาดเริ่มกลับมาสนใจต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น หากนายโดนัลด์ ทรัมป์มีชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่รุนแรง โดยเฉพาะกับจีน การลดภาษีที่อาจส่งผลต่อหนี้สาธารณะของสหรัฐที่สูงขึ้น การเพิ่มข้อจำกัดการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน อาจทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น และการที่เงินเฟ้อสูง โดยเพนน์ วอร์ตัน บัดเจต โมเดล (Penn Wharton Budget Model) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เคยเปิดเผยผลการศึกษาฉบับล่าสุดว่า นโยบายเศรษฐกิจที่นำเสนอโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 5.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่านโยบายที่นำเสนอโดยรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เกือบ 5 เท่า โดยนโยบายของแฮร์ริสจะทำให้รัฐบาลกลางขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
ดอกเบี้ยขาลงหนุนราคาทองคำระยะยาว
นับว่าปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาทองคำเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมานั้นราคาทองคำได้มีการทำ all-time high หลายครั้ง โดยมีแรงหนุนจากการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ ทั้งนี้แนวโน้มดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลง จึงยังส่งผลต่อราคาทองคำมีทิศทางขาขึ้นในระยะยาว
ยังคงมีแรงซื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้ราคาทองคำยังยก High และ Low อย่างต่อเนื่อง จนทำ All-time high ใหม่ ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคจาก MACD ยังคงเกิด Bullish MACD คาดว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น
ทองคำทำ all-time high จากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
Gold Bullish
ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอล-ฮามาส
ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
Gold Bearish
การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
ตลาดให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยของเฟดน้อยลง
โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,700 ดอลลาร์ และ 2,685 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวต้าน 2,750 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,770 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ตามราคาทองคำโลก โดยมีแนวรับ 42,200 บาท และ 42,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 42,700 บาท และ 42,850 บาท
ข่าวแนะนำ