TNN สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,614 จุด

TNN

Wealth

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,614 จุด

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,614 จุด

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,614 จุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4/67 มีภาพบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากที่ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากกระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาช่วยหนุนดัชนีให้ฟื้นตัวขึ้น ทั้งกระแสเงินทุนที่มาจากกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท ที่เริ่มทยอยเข้ามาในตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่จะมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ทยอยเข้ามา ขณะเดียวกันยังมีกระแสเงินทุนที่มาจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% ไปเมื่อการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนมาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย และในเดือนพ.ย.นี้ คาดหวังที่ MSCI จะมีการอัพเกรดหุ้นไทยขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย


นอกจากนี้ในช่วงปลายปี 67 คาดว่าจะยังคงมีเม็ดเงินของการซื้อกองทุน Thai ESG ที่มีการปรับปรุงเงื่อนไขให้น่าสนใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากส่วนนี้เข้ามาราว 2 หมื่นล้านบาท ที่จะช่วยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 32.22% จากก่อนหน้าที่ 20% และประเมินดัชนี SET สิ้นปี 67 จะอยู่ที่ 1,494 จุด และกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 89.91 บาท/หุ้น


ส่วนสิ้นปี 68 คาดว่าดัชนี SET อยู่ที่ 1,614 จุด โดยยังมองว่ามีปัจจัยหนุนจากการที่กระแสเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่อง จากอานิสงส์ของการเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ทำยังคงเห็นภาพของ Fund Flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง อีกทั้งแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้เป็นปัจจัยที่หนุนต่อตลาดหุ้น และค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโซนแข็งค่าช่วง 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย


ขณะที่การเมืองในประเทศยังมีเสถียรภาพ ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสามารถออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการผลักดันการลงทุนโครงการต่างๆ และการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติหรือบริษัทขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย สร้างเม็ดเงินใหม่ๆให้เข้ามา จากที่ล่าสุด Google ได้เข้ามาลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1% ของจีดีพีไทย


นอกจากนี้นักวิเคราะห์ฯต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการ Entertainment Complex ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นการสร้าง New Investment และ New Economy ให้กับเศรษฐกิจไทย เกิดความคึกคัก และมีสิ่งใหม่ๆดึงดดูให้คนเข้ามาในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะซับพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการและการท่องเที่ยว


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องติดตามในช่วงปลายปี 67 ที่จะมีความเกี่ยวโยงมาถึงตลาดหุ้นไทยในปี 68 คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐในด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ การกีดกันทางการค้า รวมถึงเรื่องภาษีของภาคธุรกิจของบริษัทในสหรัฐ โดยประเมินว่าหากประธานาธิบดีที่มาจากพรรค Democrat ได้รับชัยชนะ จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะนโยบายยังคงเหมือนเดิม 


แต่หากประธานาธิบดีจากพรรค Republican ได้รับชัยชนะ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นไทย จากการที่มีมาตรการกีดกันทางการค้าจากฝั่งเอเชีย และการที่ลดภาษีนิติบุคคลให้กับภาคธุรกิจ ทำให้กำไรของบริษัทในสหรัฐจะดีขึ้น และเงินลงทุนจะกลับไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้รับประโยชน์ ทั้งนี้การปรับตัวขึ้นของดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก และปี 68 ลุ้นขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด มองว่าเป็นระดับที่ยังไม่แพง โดยมี P/E ที่ 15-16 เท่า ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐที่มี P/E สูงถึง 23-24 เท่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในการลงทุน โดยที่หุ้นที่แนะนำและมีความน่าสนใจในการลงทุน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว และเทคโนโลยี เป็นต้น โดยที่มีหุ้นแนะนำ ได้แก่


1. AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี

2. BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น

3. CPALL ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น

4. GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน


สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า

ข่าวแนะนำ