TNN รับมือลงทุนอย่างไร เมื่อเฟดลดดอกเบี้ยรัวๆ

TNN

Wealth

รับมือลงทุนอย่างไร เมื่อเฟดลดดอกเบี้ยรัวๆ

รับมือลงทุนอย่างไร เมื่อเฟดลดดอกเบี้ยรัวๆ

เฟดออกตัวแรงด้วยการลดดอกเบี้ยลงถึง 0.50% มาอยู่ที่ 4.75-5% แม้จะเป็นไปตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดกันไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อถึงวันที่เฟดลงมือจริง ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดไม่น้อย

และแล้ว!! การเริ่มต้นดอกเบี้ยขาลงของเฟดก็มาถึง หลังจากที่ให้นักลงทุนลุ้นผ่าน Dot Plot มายาวนาน เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดก็ตัดสินใจหั่นดอกเบี้ยรวดเดียว 0.50% เริ่มต้นก้าวแรกสู่เส้นทางดอกเบี้ยขาลงของเฟดในรอบนี้ เพื่อหวังพยุงเศรษฐกิจให้ลงแตะพื้นได้อย่างนุ่มละมุน แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้เลือกข้างเสียทีเดียว ว่าอยู่จะฝั่ง Soft Landing หรือ Recession กันแน่ เมื่อความคลุมเครือ ความผันผวน ความไม่แน่นอน ยังคงหมุนอยู่รอบๆ แล้วนักลงทุนอย่างเราๆ จะรับมืออย่างไรกันดี?


วันนี้เรามาคุยกันครับ นโยบายการเงินกับตลาดลงทุน จากจุดสตาร์ทในรอบนี้ ที่เฟดออกตัวแรงด้วยการลดดอกเบี้ยลงถึง 0.50% มาอยู่ที่ 4.75-5% แม้จะเป็นไปตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดกันไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อถึงวันที่เฟดลงมือจริง ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดไม่น้อยเลยนะครับ ยิ่งเมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ พากันเขียวสดใสพรึ่งพรั่บขึ้นมา ยิ่งทำให้เลือดในตัวของนักลงทุนอย่างเราๆ สูบฉีดแรงขึ้นไปอีก แม้นักลงทุนที่อยู่กับตลาดหุ้นมายาวนาน จะรู้กันอยู่แล้วว่าการปรับดอกเบี้ยนโยบายจะส่ผลต่อตลาดการลงทุนและราคาสินทรัพย์แต่ละประเภท แต่ความลุ้นอยู่ตรงที่เมื่อดอกเบี้ยลงหุ้นจะขึ้นไปได้แค่ไหน ซึ่ง React ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่เฟดลดดอกเบี้ยปรากฏว่า ดัชนี S&P500 ปรับขึ้นกลับมาแตะระดับสูงสุดใหม่ เป็นครั้งที่ 39 ในปีนี้ โดยปิดที่ 5702.55 หรือ +1.36% ทางด้าน NASDAQ100 ปิดที่ 19791.49 หรือ +1.30% ขณะที่เฟดยังส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่ออีก 0.50% ในปีนี้ ลงไปอยู่ที่ 4.40% ตามเป้าหมายที่วางไว้ในกรอบ 4.25-4.5%

และยังชี้เป้าอีกว่าเฟดจะเหยียบคันเร่งลดดอกเบี้ยลงต่ออีก 1% ในปี 2568 และอีก 0.50% ในปี 2569 เพื่อรั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอาไว้ ไม่ให้ไหลลงไปสู่ภาวะถดถอย จริงๆ แล้ว สัญญาณการลดดอกเบี้ยของเฟดเกิดมาระยะหนึ่งแล้วนะครับ คือตั้งแต่เฟดหยุดการขึ้นดอกเบี้ยเมื่อปี 2022 ซึ่งนักลงทุนที่คร่ำหวอดกับตลาดการลงทุนมานาน ได้เริ่มโยกย้ายเงินและปรับพอร์ตลงทุนมาตั้งแต่ช่วงนั้น เพราะมองข้ามช็อตไปแล้วว่าเมื่อเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยก็จะลดดอกเบี้ยตามมาในระยะต่อไป เพียงแต่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจนว่า เฟดจะเริ่มนับหนึ่งเมื่อไหร่ เพราะนโยบายการเงินย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังไม่แน่นอน ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ยังขึ้นๆ ลงๆ ให้ลุ้นกันแทบทุกเดือน แต่นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ทั้งในการวิเคราะห์ตลาดและปรับพอร์ตการลงทุน ก็เริ่มโยกเงินเข้าตลาดหุ้นมาตั้งแต่ปีสองปีก่อน โดยเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ความเสี่ยงต่ำ ที่สำคัญไม่มีภาระหนี้ และแน่นนอนครับ หุ้นที่ถูกเลือกในลำดับต้นๆ คือกลุ่ม 7 นางฟ้านั่นเอง ที่เงินลงทุนไหลเข้าไปรอก่อนที่เฟดจะประกาศลดดอเบี้ยอย่างเป็นทางการ แต่เป็นลักษณะค่อยๆ ทยอยเก็บมากกว่าเข้าลงทุนอย่างจริงจัง ตามสถานการณ์ที่ยังไม่มีความชัดเจนตามหลักการ ตลาดหุ้นจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการลดดอกเบี้ย เพราะทำให้ต้นทุนทางการเงินของธุรกิจถูกลง รวมทั้งเป็นตัวกระตุ้นการลงทุน การใช้จ่าย และการบริโภคให้เพิ่มขึ้นด้วย


ซึ่งจากสถิติพบว่าหลังการลดดอกเบี้ยของเฟด 1 ปี ดัชนี S&P500 สามารถปรับตัวขึ้นได้ 15% โดยเฉลี่ย และจากวัฏจักรการลดดอกเบี้ยของเฟด 21 ครั้งพบว่า ในช่วงแรกของการลดดอกเบี้ยราคาสินทรัพย์ต่างๆ ยังคงทรงตัว แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งราคาสินทรัพย์จะเริ่มปรับตัวขึ้น นำโดยตราสารหนี้และตามมาด้วยหุ้น 

เช่นเดียวกับกลยุทธ์ลงทุนจากปัจจัยสงคราม เมื่อสงครามเริ่มต้น โอกาสของการลงทุนก็มาถึง เพราะในช่วงที่ตลาดเกิดความกลัว ความกังวล นักลงทุนส่วนใหญ่จะเทขายหุ้นออกมา ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลดลง เมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้ว ผ่านไปสักระยะ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เพราะตลาดมองว่าเมื่อมีจุดเริ่มต้นของสงครามก็ย่อมมีจุดสิ้นสุดในที่สุด เรียนรู้ธรรมชาติตลาดหุ้น 

ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงทุนขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการคือ 
1. ความจริง นั่นคือปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ และ 2. ความคาดหวังต่อราคาหุ้น หรือ Expected
value และทั้ง 2 ปัจจัยก็ยังมีความสัมพันธ์กันอีกด้วย เพราะหากเราลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แนวโน้มการทำกำไรอยู่ในระดับสูง เราย่อมคาดหวังว่าราคาหุ้นก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่นอกเหนือจากปัจจัยภายในของธุรกิจเองแล้ว ยังมีปัจจัยแวดล้อมต่างๆ อีกมากมายที่อยู่เหนือการควบคุม หรือเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย โรคระบาด หรือสงคราม ที่อาจส่งผลให้ราคาหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้ .

ดังนั้น การปรับพอร์ตลงทุน หรือ Asset allocation จึงเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่นักลงทุนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้ เพื่อให้เราสามารถจัดการพอร์ตลงทุนได้อย่างเท่าทันสถานการณ์ และบริหารผลตอบแทนจากการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ใช่แค่นักลงทุนรุ่นใหม่เท่านั้น นักลงทุนอาชีพอย่างผม หรือผู้ลงทุนที่เชี่ยวชาญมีประสบการณ์มายาวนาน ยังต้องติดตามสถานการณ์และปรับพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่เว้นแม่แต่กูรูการลงทุนสาย VI อย่างคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เห็นได้จากการลดสัดส่วนลงทุนในหุ้น Apple ของคุณปู่ ที่เรียกว่าสร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งวงการ แต่หากเราวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล ก็จะพบว่าการที่บัฟเฟตต์ขายหุ้น Apple ออกมาบางส่วน เป็นเพียงการปรับพอร์ตลงทุนตามหลักทฤษฎีตามปกติเท่านั้นเอง

เนื่องจากคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ลงทุนในหุ้น Apple มาตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งตอนนั้น P/E อยู่ที่ 12 เท่า แต่ตอนนี้ P/E เพิ่มขึ้นมาเป็น 30 เท่า หรือกว่าเท่าตัวแล้ว จึงบรรลุเป้าหมายการลงทุนของคุณปู่ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่หุ้น Apple ยังมีสัดส่วนสูงสุดในพอร์ตลงทุนโดยรวมของคุณปู่ แม้ว่าจะได้ขายออกไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรในระยะข้างหน้าก็ไม่ได้สูงเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะตัวเลขยอดขาย iPhone ในจีนที่ไม่ได้ติด Top 5 อีกต่อไป
ถือเป็นตัวเลขที่ฟ้องให้คุณปู่ต้องปรับสัดส่วนลงทุน เพิ่มรักษาอัตราผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนโดยรวมไว้ ยึดปัจจัยพื้นฐานยึดอารมณ์ลงทุน 

โดยปกติในตลาดการลงทุน เราแบ่งนักลงทุนได้เป็น 2 สายนะครับ คือสายคุณค่า หรือ VI กับสายเทนนิค ซึ่งสาย VI จะเน้นการลงทุนโดยยึดปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก เราคงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่านักลงทุนสาย VI ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางก็คือคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์นั่นเอง และคุณปู่ก็ถือเป็นนักลงทุนต้นแบบของ Jitta Wealth ด้วยเช่นกัน ตามทฤษฎี การลงทุนของสาย VI จะสามารถสร้างพอร์ตลงทุนได้อย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว แต่การสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตลงทุนก็ต้องใช้เวลา ส่วนสายเทคนิคจะมีโอกาสทำกำไรในระยะสั้นๆ ได้มากกว่า แต่พอร์ตลงทุนก็จะมีความผันผวนสูงกว่า สำหรับนักลงทุนบางคนก็อาจใช้ทั้ง 2
ทฤษฎีประกอบกัน และอย่างที่ผมบอกมาตลอดนะครับว่า ไม่มีทฤษฎีหรือวิธีไหนถูกผิด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนยอมรับได้ และอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง แม้ผมเองจะยึดการลงทุนสาย VI แต่มีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนจากนักลงทุนทั้ง 2 สายอยู่เสมอครับ 

ในมุมมองของผมเชื่อว่าการยึดปัจจัยพื้นฐานจะช่วยยึดอารมณ์ในการลงทุนของเราให้มีความมั่นคงมากขึ้นด้วย เพราะอย่างที่เรารู้กันนะครับว่า ในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งความโลภ ความกลัว ความลังเล และอื่นๆ อีกมากมาย ขณะเดียวกันก็เรียกได้ว่าตลาดหุ้นเป็นเกมของเหตุและผลถ้าเราสามารถทำกำไรได้ถือว่าเราจะมีเหตุผลในการลงทุนที่ดีกว่าซึ่งเหตุผลของการลงทุนก็มาจากการศึกษาข้อมูล และปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจนั่นเอง แต่ถ้าเราไม่มีข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อยู่เลยไม่มีเหตุและผลในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ มีโอกาสมากที่เราจะวิ่งตามอารมณ์ของตลาด ฝากไว้ให้คิด “รวยช้าไม่เป็นไร ดีกว่าจนเร็ว” ซึ่งบางทีรีบรวย หรือโลภเกินความรู้ ก็จะขาดทุนได้ง่ายขึ้น เกมการลงทุนเมื่อไหร่ที่คุณขาดทุนคือ Game Over อาจไม่มีโอกาสกลับมาลงทุนได้อีกเลย 

อีกหนึ่งเรื่องอันตรายสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นคือ ไม่มีการจัด League วันแรกที่คุณเข้าตลาด คุณอาจแข่งอยู่กับคนที่มีประสบการณ์ลงทุนมาอย่างยาวนาน แข่งกับคนที่ลงทุนมา 20-30 ปี มีความรู้และข้อมูลลงทุนมากกว่าหลายเท่าคนอื่นอาจอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาแล้ว 100 เล่ม ขณะที่คุณเพิ่งอ่านแค่ 10 เล่ม แต่คิดว่าเพียงพอแล้ว และรีบร้อนลงทุนเกินไป ซึ่งฟฤติกรรมลงทุนแบบนี้อาจนำมาสู่โศกนาฏกรรมทางการลงทุนได้ในโลกของการลงทุนคนมักมองแค่ผลตอบแทน หรือ Reward แต่ความเป็นจริงโลกการลงทุนมี 2 ด้านคือทั้งผลตอบแทนละความเสี่ยง หรือ Risk ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนจึงต้องวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบคอบและครบครัน
ที่สำคัญต้องมองทั้งโอกาสที่จะได้กำไรและขาดทุนจากการลงทุน อย่างเช่นที่คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยบอกไว่ว่า หากการลงทุนในหุ้นบริษัทหนึ่ง แม้จะมีโอกาสูงถึง 99% ที่จะได้กำไรเท่าตัว แต่ถ้ามีโอกาสที่จะหมดตัวแค่ 1% คุณปู่ก็จะไม่เลือกลงทุนในหุ้นตัวนั้น เพราะมีความเสี่ยงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ซึ่งความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันนะครับ แม้ว่าการเลือกหุ้นที่ดีเป็นเรื่องสำคัญแล้ว แต่การจัดพอร์ตลงทุนและกระจายความเสี่ยงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

ไม่ใช่แค่ชวยคุณทำกำไรจากพอร์ตลงทุนเท่านั้น แต่จะช่วยคุณลดความเสี่ยงจากโอกาสขาดทุนให้น้อยลงด้วย โดยพื้นฐานแล้วการกระจายความเสี่ยงก็ตือการปกป้องพอร์ตลงทุนของเราไม่ให้จากไปก่อนวัยอันควร เพราะตลาดหุ้นเป็น Infinite Game ที่คุณไม่มีทางรู้อนาคต แม้สามารถรู้อดีตถึงปัจจุบันได้ คุณอาจจะมั่นใจในหุ้นบางตัว วันดีคืนดีบริษัทนั้นอาจเกิดผลกระทบจาก เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้ Magic number ปั้นพอร์ตลงทุนอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนะครับว่า การขึ้นลงของราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจและราคาที่คาดหวัง แต่ถ้าเป็นนักลงทุนสายคุณค่าอย่างปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์จะให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานมากกว่าราคา แต่คุณปู่จะกำหนดอัตราผลตอบแทนเป้าหมายเป็นเข็มทิศในการลงทุนอยู่เสมอ โดยคุณปู่คาดหวังว่าแต่ละบริษัทที่ลงทุนต้องสามารถกำไรได้เพิ่มขึ้น 10-15% ต่อปี หากไม่สามารถทำได้ ก็จะนำไปสู่การปรับพอร์ตลงทุน หรือ Rebalance ในขณะเดียวกัน หากอัตราผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุนของเรา เป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี ก็จะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่เป็นความมหัศจรรย์ทางตัวเลข หรือ Magic number ได้อีกด้วย ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนโดยรวมอยู่ที่ 15% ต่อปี พอร์ตจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้เท่าตัวในทุกๆ 5 ปี
หรือถ้าอัตราผลตอบแทนโดยรวมอยู่ที่ 10% ต่อปี พอร์ตจะเติบโตได้เท่าตัวในทุกๆ 7 ปี แต่ Magic number จะเกิดขึ้นได้ต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการ Asset allocation  และ Rebalance พอร์ตที่เหมาะสมด้วย

แต่สำหรับนักลงทุนโดยทั่วไปอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้น การให้มืออาชีพดูแลพอร์ตลงทุนจึงเป็นอีกทางเลือก และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน ยิ่งทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถช่วยคุณ Rebalance พอร์ตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น 

แม้การกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน เป็นหนึ่งในหลักการ Asset allocation แต่เราไม่ควรลงทุนในหุ้นหลายบริษัทมากเกินไป เพราะจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดน้อยลงได้ ถ้าหากคุณต้องการผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนโดยเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ผมแนะนำว่าควรเลือกลงทุนในหุ้นตัวท็อปๆ ของโลกประมาณ 5-10 บริษัท โดยกระจายไปในหลายตลาด หลายอุตสาหกรรม แต่หากเราเป็นนักลงทุนทั่วไป อาจไม่มีเงินลงทุนมากพอที่จะกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นใหญ่ๆ ทั่วโลกได้ การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงอาจตอบโจทย์สำหรับคนงบฯ น้อย และถ้าหากคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทระดับโลก ด้วยอัตราผลตอบแทน 7-8% ต่อปี อย่าง Global ETF ที่มีการกระจายการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูงทั่วโลก ทั้งยังมีโอกาสสร้าง Magic number ให้กับพอร์ตลงทุนของคุณได้อีกด้วย จากอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี จะทำให้พอร์ตลงทุนเติบโตได้เท่าตัวในทุกๆ 9 ปี โดยกำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท และสามารถทำ DCA ด้วยเงินลงทุนแค่ 1,000 บาทต่อครั้ง 

ตลาดหุ้นกับความผันผวนเป็นของคู่กันเสมอนะครับ อะไรที่เราคิดว่าใช่ อาจไม่ชัวร์ขึ้นมาก็ได้ การลงทุนโดยยึดปัจจัยพื้นฐานจึงเพิ่มโอกาสสร้าง Magic number ให้กับพอร์ตลงทุน ขณะที่การกระจายความเสี่ยงก็ช่วยเพิ่มทางรอดให้กับพอร์ตลงทุนได้เช่นกัน..ด้วยระบบ Safety Lock 2 ชั้น.. ต่อให้เฟดรัวดอกเบี้ยลงแค่ไหน..พอร์ตลงทุนก็ไม่หวั่นไหว

รับมือลงทุนอย่างไร เมื่อเฟดลดดอกเบี้ยรัวๆ
ตราวุทธ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth









ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง