TNN ก.ล.ต. สั่ง Bitazza แก้ไขการดำเนินงานหลังพบข้อบกพร่อง​ หวั่นทำนักลงทุนเสียหาย

TNN

Wealth

ก.ล.ต. สั่ง Bitazza แก้ไขการดำเนินงานหลังพบข้อบกพร่อง​ หวั่นทำนักลงทุนเสียหาย

ก.ล.ต. สั่ง Bitazza แก้ไขการดำเนินงานหลังพบข้อบกพร่อง​ หวั่นทำนักลงทุนเสียหาย

ก.ล.ต. สั่ง Bitazza แก้ไขการดำเนินงานหลังพบข้อบกพร่อง​ หวั่นทำนักลงทุนเสียหาย

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีมติให้ บริษัท บิทาซซ่า จำกัด (Bitazza) แก้ไขการดำเนินงานของบริษัทให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ ระบบเปิดบัญชีและทำความรู้จักลูกค้า ระบบการเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้าประเภทเงินบาท การประกอบกิจการอื่น และมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (COI) และการเข้าถึงข้อมูลของบริษัท


โดยให้รายงานการแก้ไขต่อ ก.ล.ต. ภายในวันที่ 24 กันยายน 2567 เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ลงทุน ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่กำหนดตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561


จากการที่ ก.ล.ต. ได้ติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท Bitazza พบว่า บริษัทมีข้อบกพร่องอย่างมากในระบบงานที่สำคัญในการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะระบบเปิดบัญชีและทำความรู้จักลูกค้า จนทำให้บริษัทไม่สามารถทำความรู้จักและระบุตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าหรือผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งความบกพร่องนี้อาจนำไปสู่การฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย


นอกจากนี้ บริษัทยังมีความบกพร่องในระบบการดูแลรักษาทรัพย์สินของลูกค้าประเภทเงินบาท การประกอบกิจการอื่น การจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์และการเข้าถึงข้อมูลของบริษัท ซึ่งเป็นระบบงานที่สำคัญและหากไม่แก้ไขการดำเนินงานดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ลูกค้าได้


คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 11/2567 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 อาศัยอำนาจตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มีมติให้บริษัทแก้ไขการดำเนินงาน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 กันยายน 2567 โดยให้แก้ไขในเรื่องดังต่อไปนี้


1. แก้ไขระบบเปิดบัญชีและทำความรู้จักลูกค้า การประเมินความเหมาะสมในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า การทบทวนปรับปรุงข้อมูลลูกค้าให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงแก้ไขกรณีการเปิดเผยข้อมูลให้กับลูกค้า โดยต้องดำเนินการให้ลูกค้าทราบเรื่องการสมัครใช้บริการอย่างครบถ้วนถูกต้อง

2. แก้ไขระบบการเก็บรักษาทรัพย์สินของบริษัท โดยดำเนินการให้บริษัทมีการเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้าประเภทเงินบาทแยกออกจากทรัพย์สินของบริษัท และจัดให้มีระบบงานการรับฝากและถอนทรัพย์สินที่เป็นเงินที่มีประสิทธิภาพ

3. หยุดการประกอบกิจการอื่นและแก้ไขให้เป็นไปตามที่ประกาศกำหนด โดยพบว่าบริษัทได้ประกอบกิจการอื่นที่อาจมีลักษณะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ได้ รวมถึงเป็นกิจการที่มีความเสี่ยงต่อทรัพย์สินของลูกค้า ซึ่งบริษัทจะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ซึ่งปรากฏว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการขออนุญาต

4. แก้ไขในเรื่องมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทให้เป็นไปอย่างเหมาะสม


นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า ตามกระบวนการทางกฎหมายที่กำหนด หากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ อาจนำไปสู่กระบวนการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาต

ข่าวแนะนำ