TNN เฟดอาจใช้การประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.

TNN

Wealth

เฟดอาจใช้การประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.

เฟดอาจใช้การประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.

ทองคำอาจจะได้รับแรงบวกจากการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะใช้การประชุมในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะเตรียมปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.

เฟดอาจใช้การประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.ในสัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำ นั่นคือการประชุมเฟดในวันที่ 30-31 ก.ค.การเมืองสหรัฐและการเลือกตั้งสหรัฐที่กำลังร้อนแรง ซึ่งปัจจัยแรก การประชุมเฟดในวันที่ 30-31 ก.ค.โดยการประชุมครั้งนี้ตลาดคาดว่าเฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเท่าเดิมที่ 5.25%-5.50% อย่างไรก็ตาม ทองคำอาจจะได้รับแรงบวกจากการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะใช้การประชุมในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะเตรียมปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่ง ณ ตอนนี้ตลาดมีความมั่นใจอย่างมากที่มีโอกาสกว่า 100% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนก.ย. หลังจากล่าสุดที่เฟดเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่าเฟดอาจจะไม่รอให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ก่อนที่จะเริ่มพิจารณาการปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านก็ออกมาสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด


อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายฝ่ายออกมาแนะนำว่าเฟดควรจะรอลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2567 ไม่ว่าจะเป็น IMF ที่ชี้ว่าเฟดไม่ควรลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปลายปี 2567


และรัฐบาลจำเป็นต้องขึ้นภาษีเพื่อชะลอการเติบโตของหนี้สาธารณะหรือแม้แต่กูรูต่างประเทศหลายท่านก็ชี้ว่าเฟดคงตรึงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปี เนื่องจากมีความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งสหรัฐ ทั้งนี้ หากการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ เฟดมีมุมมองที่เปลี่ยนไปก็อาจสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ แต่เรายังคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.มากกว่า ซึ่งอาจหนุนต่อราคาทองคำได้การเมืองสหรัฐและการเลือกตั้งสหรัฐที่กำลังร้อนแรง ซึ่งต้องยอมรับว่าหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศถอนตัวในการเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งสหรัฐปีนี้ ก็มีการตอบรับในเชิงบวกจากพรรคแดโมแครต ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้หนุนคามาลา แฮร์ริส ทำให้มียอดเงินบริจาคสูงถึง 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดเงินที่สูงที่สุดใน 24 ชม.ของสถิติที่ผ่านมาจากแคนดิแดนผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ และเป็นยอดเงินจำนวนมากพบว่ากว่า 60% เป็นผู้บริจาคไม่เคยบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองอีกด้วย 


อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามใน 19-22 ส.ค.ว่าคามาลา แฮร์ริส จะได้รับการยอมรับจากคนในพรรคหรือไม่?เพื่อเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้

เพราะหลังจากที่ไบเดนถอนตัว ก็มีผู้แทนคนอื่นในพรรคต้องการเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเช่นกัน แต่คามาลา แฮร์ริส ก็ยังคงมีฐานเสียงจากฐานเสียงคนผิวสีของเธอ ทั้งนี้ ผลสำรวจล่าสุดพบว่า คามาลา แฮร์ริสได้มีคะแนนความนิยมนำเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ 


ทั้งนี้ เรามองว่านโยบายของคามาลา แฮร์ริสอาจจะไม่ส่งผลบวกต่อราคาทองคำมากเท่าไหร่นัก ทั้งนี้นโยบายของคามาลา แฮร์ริสก็อาจไม่ต่างกับนายโจ ไบเดนมาก

โดยคามาลา แฮร์ริสค่อนข้างจะสนับสนุนพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมสีเขียว สนับสนุนด้าน ESG และค่อนข้างจะไปทางด้านเก็บภาษีคนรวยช่วยคนจน นอกจากนี้ trade war อาจจะไม่รุนแรงเท่าทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริสอาจจะสร้างแรงกดดันให้สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสจบลงที่โต๊ะการเจรจา


แต่นโยบายของทรัมป์ที่จะนำมาใช้มีหลายนโยบายที่เอื้อให้มองได้ว่าเป็นบวกกับทองคำ ด้านนโยบายต่างประเทศ ค่อนข้างชัดเจนว่า จะกลับมาให้ความสำคัญกับอเมริกามากกว่าประเทศอื่นๆดังนั้นความเข้มแข็งของนาโต้ที่น่าจะลดลง การให้ความช่วยเหลือไต้หวันที่ดูจะน้อยลงและมีความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ในอนาคต ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ ที่ดูเหมือนบรรดาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจจะเห็นด้วยคือเรื่องของการลดภาษี ซึ่งล่าสุด อีลอนมัส ได้ประกาศทุ่มเงินสนับสนุนโดนัลด์ทรัมป์จำนวนมหาศาลเราประเมินว่าเป็นเพราะนโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับการลดภาษีนิติบุคคลและภาษีรายได้ของคนมีสตางค์ ที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกและในการเลือกตั้งครั้งนี้ทรัมป์ได้เสนอที่จะลดภาษีนิติบุคคลลงอีกร้อยละ 1 (จากปัจจุบันอัตราภาษีนิติบุคคลที่ 21% เหลือ 20%)


นอกจากนี้นโยบายลดภาษีนิติบุคคลที่ทรัมป์เคยทำไว้จะหมดอายุลงในปีหน้า จึงไม่น่าแปลกใจว่าการที่ทำประกาศจะลดภาษีเพียงร้อยละ 1 แต่หมายถึงจะต่ออายุกฏหมายลดภาษีต่อไปอีก จึงทำให้บรรดาเจ้าของธุรกิจและคนมีสตางค์ออกมาให้การขานรับ และนโยบายลดภาษีนิติบุคคลนี้เอง ที่เรามองว่าจะเป็นบวกกับราคาทองคำต่อไปในอนาคต เนื่องจากอาจส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ของสหรัฐพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในด้านของทองคำนั้น ตัวแปรหลายตัวมีผลกับทองคำ ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินปัญหาทางภูมิศาสตร์ และเหนืออื่นใด ตัวแปรที่มีผลกับทองมากที่สุด คือขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งหมายถึงหนี้ที่รัฐบาลสหรัฐต้องกู้ยืม รวมถึงเรื่องของหนี้สาธารณะต่อ GDP ซึ่งมีความสัมพันธ์กับทองคำในทิศทางบวกอย่างชัดเจน


เฟดอาจใช้การประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. 

Gold Bullish

 ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย

สงครามอิสราเอล-ฮามาส

 ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง

 ความต้องการทองจากกระแส De-Dollarization

 ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.

Gold Bearish

 เงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย

 การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน


สำหรับสัปดาห์นี้คาดว่าราคาทองคำอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 2,350-2,415 ดอลลาร์ ให้ระวังแรงเทขายบริเวณ 2,400-2,415 ดอลลาร์ โดยราคาทองคำมีแนวต้าน 2,400 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,415 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวรับ 2,360 ดอลลาร์ และ 2,350 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 40,200 บาท และ 40,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 40,900 บาท และ 41,000 บาท


ธนรัชต์ พสวงศ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง

ข่าวแนะนำ