ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงคือ การปรับเปลี่ยนมุมมองของตลาด โดยตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยปีนี้เหลือเพียง 1 ครั้ง และเลื่อนระยะเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป
สัปดาห์ก่อนราคาทองคำค่อนข้างผันผวน ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วเราได้ให้คำแนะนำเตือนถึงแนวโน้มของราคาทองคำไว้ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ให้ระวังแรงเทขายมากขึ้น เนื่องจากเริ่มเกิดสัญญาณ bearish divergence ซึ่งก็พบว่าราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทำ All-Time High ก่อนที่จะเกิดแรงเทขายออกมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ อาจมีคำถามว่า ราคาทองคำจะเข้าสู่แนวโน้มขาลงแล้วหรือยัง? หากพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทางเทคนิค MACD และ Modified Stochastic พบว่า MACD<Signal line ส่วน Modified Stochastic เส้น %K ตัดเส้น %D ลงมา จึงยังบ่งชี้ว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ ขณะที่หากพิจารณารูปแบบของกราฟราคาทองคำเกิดรูปแบบคล้ายตัว M (Double Top) ซึ่งบ่งชี้ทิศทางการกลับตัวลงของราคาทองคำ จึงคาดว่าราคาทองคำยังคงปรับตัวลงได้ต่อเช่นกัน โดยคาดว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงไปสู่แนวรับสำคัญที่ 2,300-2,310 ดอลลาร์ จึงจับตาแนวรับสำคัญดังกล่าวนี้ หากว่าหลุดแนวรับดังกล่าว ราคาทองคำจะเข้าสู่แนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน
หากพิจารณาถึงปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลง นั่นคือ การปรับเปลี่ยนมุมมองของตลาด โดยตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยปีนี้เหลือเพียง 1 ครั้ง และเลื่อนระยะเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป จากเดิมตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ซึ่งตอนนี้ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ย.
ขณะที่โบรกเกอร์ต่างประเทศบางสำนักคาดว่าเฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยเลยในปีนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะอยู่ระดับสูงนานขึ้น จึงเป็นประเด็นหลักที่สำคัญที่กดดันราคาทองคำ นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังไม่มีทีท่าที่รุนแรงมากกว่าเดิมหรือขยายเป็นวงกว้าง ทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
แม้ก่อนหน้านี้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการเกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกแล้วเกิดการเสียชีวิตของประธานาธิบดีอิหร่าน นำไปสู่ความกังวลต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางมากขึ้น แต่เหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกในครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องของสภาพภูมิอากาศมากกว่า จึงไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่สงครามที่รุนแรงมากขึ้น
ส่วนทางด้านกองทัพจีนที่มีการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดรอบเกาะไต้หวัน เพียงไม่กี่วันหลังจากนายไล่ ชิงเต๋อ ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันคนใหม่ ซึ่งการซ้อมรบครั้งนี้เป็นการทดสอบความสามารถทางทหารในการยึดอำนาจเหนือเกาะไต้หวัน ที่มีการยิงขีปนาวุธ รวมถึงส่งเครื่องบินรบบรรจุขีปนาวุธจริง ซึ่ง ณ ขณะนี้จีนก็ได้ประกาศยุติการซ้อมรบแล้ว และด้านรัสเซียที่ก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงที่จะจ่อเปิดศึกเพิ่ม หลังจากที่รัสเซียได้ขู่โจมตีอังกฤษ หากยูเครนใช้อาวุธอังกฤษ
ทั้งนี้ คาดว่ารัสเซียอาจยังไม่ขยายวงกว้างในการทำสงครามเพิ่มเติม ขณะที่ล่าสุดรัสเซียก็พร้อมเจรจาหยุดยิงเพื่อยุติสงครามในยูเครนเช่นกัน จึงคาดว่าในระยะอันใกล้นี้ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงคราม ยังไม่รุนแรงและขยายวงกว้างมากนัก จึงอาจยังไม่ได้เป็นแรงหนุนต่อราคาทองคำในระยะอันใกล้นี้
ประเด็นหลัก ๆ ที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้ นั่นคือ การแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านจะมีมุมมองต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอย่างไร ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ รวมถึงสัปดาห์นี้ติดตามการเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของเฟด 12 เขต (Beige Book) นอกจากนี้สหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 1 ของสหรัฐ และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเดือนเม.ย.
ราคาทองคำเข้าสู่แนวโน้มขาลงแล้วหรือยัง?
ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอล-ฮามาส
ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
ความต้องการทองจากกระแส De-Dollarization
เงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย
ตลาดคาดว่าเฟดตรึงดอกเบี้ยสูงนานขึ้น
สัปดาห์นี้ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 2,300 ดอลลาร์ และ 2,280 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,350 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,380 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 40,000 บาท และ 39,700 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 40,950 บาท และ 41,200 บาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง