TNN ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค "กุมภาพันธ์ 2567" สูงสุดในรอบ 48 เดือน

TNN

Wealth

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค "กุมภาพันธ์ 2567" สูงสุดในรอบ 48 เดือน

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค กุมภาพันธ์ 2567 สูงสุดในรอบ 48 เดือน

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค "กุมภาพันธ์ 2567" สูงสุดในรอบ 48 เดือน นับตั้งแต่ มีนาคม 2563

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค "กุมภาพันธ์ 2567" สูงสุดในรอบ 48 เดือน นับตั้งแต่ มีนาคม 2563


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนก.พ. 67 อยู่ที่ระดับ 63.8 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 48 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 63

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนก.พ. ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล และรัฐบาลจัดทำนโยบายลดค่าครองชีพโดยลดค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมัน ตลอดจนมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ นอกจากนี้ ผู้บริโภคเห็นว่าการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทย และอาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาคในอนาคต

การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กับอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซาอาจยืดเยื้อ ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้

"ปัจจัยลบ คือ ทุกคนเริ่มรับรู้จากการที่สภาพัฒน์ออกมายืนยันว่า เศรษฐกิจไทยจะโตแค่ 2.7% รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่ออกมาบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 2.7-2.8% ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นภาคประชาชนและธุรกิจหดหายลง เป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพูดว่าเป็นปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน แสดงว่าเป็นการเยียวยาที่ไม่ง่ายในระยะสั้น การฟื้นตัวในอนาคตจึงไม่สดใส ไม่ได้ทรุดตัวลง แต่นิ่งอยู่กับที่เพื่อรอสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ" นายธนวรรธน์ กล่าว


นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การปรับตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวแบบอ่อนๆ เพราะความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการจ้างงานฟื้นตัวน้อย อย่างไรก็ดี ความหวังว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นในไตรมาส 2/67 คือดัชนีการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีสุดในรอบ 164 เดือน หรือตั้งแต่ที่ทำการสำรวจมา (ก.ค. 48) แสดงให้เห็นว่าคนไทยพร้อมเที่ยว และบรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคัก โดดเด่น

ดังนั้น การส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ทั้งเทศกาลมหาสงกรานต์ 21 วัน หรือเทศกาลต่างๆ ในวันหยุดยาว จะหนุนภาวะเศรษฐกิจในภาคบริการ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเกี่ยวกับการซื้อบ้าน และรถยนต์ยังดีต่อเนื่อง เป็นสัญญาณของความพร้อมในการจับจ่ายใช้สอยที่บวกขึ้นตามลำดับ

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะถูกจุดติดในเดือนเม.ย. 67 เป็นต้นไป หลังจากงานมหาสงกรานต์ 21 วัน การท่องเที่ยวน่าจะคึกคักขึ้น ประกอบกับเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งสำนักงบประมาณคาดว่าจะลงในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. น่าจะทำให้เดือนเม.ย.-พ.ค. 67 หรือไตรมาส 2/67 เศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มพลิกฟื้นขึ้น

"เชื่อว่าในไตรมาส 1/67 เศรษฐกิจน่าจะโต 2% และเม.ย. 67 ที่จะมีสงกรานต์ และงบประมาณ จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/67 โตได้ 2.5-3% ดังนั้น หอการค้าไทยจะมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจในวันที่ 19 มี.ค. นี้ โดยตอนนี้ประเมินไว้ที่ 3.2% จะรอดูประเมินสถานการณ์อีกครั้ง" นายธนวรรธน์ กล่าว


สำหรับเงินสะพัดช่วงสงกรานต์ ปกติแล้วจะประเมินเงินสะพัดช่วงสงกรานต์อยู่ที่ประมาณ 130,000-140,000 ล้านบาท ในส่วนของปีนี้ยังไม่ได้ทำการประเมิน แต่ถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับมีงานมหาสงกรานต์ 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-21 เม.ย. 67 เงินใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์อาจขยายตัวมากกว่าเดิม 5,000-10,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากมองว่าจะเพิ่ม 50,000 ล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีการขยายตัวได้ประมาณ 0.2-0.3% อย่างไรก็ดี ต้องดูบรรยากาศของเศรษฐกิจโลก และบรรยากาศของการจัดงานสงกรานต์ด้วยว่าจะคึกคักมากน้อยเท่าไร

"บรรยากาศของนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 3 ล้านคน ถ้าเทียบกับปีก่อนเข้ามาเดือนละ 1-1.5 ล้านคน สะท้อนว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1-2 ล้านคนในช่วงสงกรานต์ ถ้าดูเฉพาะนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.5 ล้านคน นักท่องเที่ยวใช้เงินเฉลี่ยประมาณ 42,000 ล้านบาท เงินก็น่าจะสะพัดในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท รวมกับนักท่องเที่ยวไทยที่ใช้เงินในช่วงสงกรานต์มากขึ้น 5,000-10,000 ล้านบาท ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอาจมีเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น 50,000 ล้านบาท "นายธนวรรธน์ กล่าว




ภาพจาก TNN Online

ข่าวแนะนำ