ครม.ไฟเขียว ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5บาท/ลิตร ต่อเนื่องถึง ก.ค.2565
ครม.อนุมัติ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5บาทต่อลิตร ต่อเนื่องออกไปอีก 3 เดือน ถึงเดือน ก.ค.2565 นี้ หวังบรรเทาปัญหาราคาสินค้าแพง
วันนี้( 17 พ.ค.65) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติ ปรับลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 3 เดือน ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง
โดยวาระการ ลดภาษีน้ำมันดีเซล นั้น กระทรวงการคลังเสนอต่ออายุลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 20 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าแนวทางการต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลว่า นโยบายช่วยเหลือมีแน่นอน ทั้งการขยายอายุลดภาษีดีเซลออกไป หรือจะมีการลดภาษีเพิ่มเติม ส่วนจะเลือกใช้แนวทางใดบ้าง ต้องขอพิจารณาอีกครั้ง ให้รอดู ซึ่งการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอีก สามารถทำได้ และยืนยันว่าไม่กระทบกับฐานะการคลังทั้งปี เบื้องต้นคาดว่ากระทรวงการคลังจะมีการเสนอ 2 แนวทาง ในการลดปัญหาราคาน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับสูง ได้แก่ 1.การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และ 2. การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงในอัตราลิตรละ5 บาท โดยระยะเวลาจะน้อยกว่า 3 เดือน โดยทั้ง 2 แนวทาง ประเมินว่าจะใช้งบประมาณไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อไม่ให้กระทบกับการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2565
สำหรับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่จะหมดอายุในวันที่20 พ.ค. นี้ ครม.ได้อนุมัติลดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลทุกรายการลง 3 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาภาคเอกชนเสนอให้ขยายเวลาลดภาษีดังกล่าวออกไปอีก 3 เดือน โดยการลดภาษีดังกล่าว ทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้เดือนละ 5.7 พันล้านบาท รวม 3 เดือน สูญเสียรายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อช่วยเหลือพยุงราคาน้ำมันร่วมกับกระทรวงพลังงาน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณว่าอาจลดเพิ่มอีกได้หากกระทรวงการคลังเสนอเข้ามาให้ ครม.พิจารณา โดยแนวทางการลดภาษีสรรพสามิตมีวงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้เกินไป
ข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล
ภาพจาก : TNN Online