คนละครึ่งเฟส 4 กระตุ้นกำลังซื้อ หนุนความเชื่อมั่น "เอสเอ็มอี" ฟื้น
สสว. เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนก.พ.ฟื้นตัว ผลพวงโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 พยุงกำลังซื้อของผู้บริโภค หวั่นต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง จับตาโอมิครอนแม้ความรุนแรงโรคไม่มากนัก แต่อัตราจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) เดือนกุมภาพันธ์ว่า ดัชนีปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 50.6 และคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 52.7 ซึ่งอยู่เหนือระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนได้ว่า ผู้ประกอบการยังมีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ โดยองค์ประกอบของธุรกิจที่ส่งผลมากที่สุด คือ ต้นทุน รองลงมาคือ การจ้างงาน กำไร การลงทุน ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ และคำสั่งซื้อ
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเป็นภาคธุรกิจ พบว่า ธุรกิจที่มีระดับความเชื่อมั่นเกินกว่าค่าฐานที่ 50 และมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาคการค้า ซึ่งปรับตัวอยู่ที่ 51.4 จากเดิมอยู่ที่ 50.9 และภาคการเกษตรอยู่ที่ 51.5 จากเดิมอยู่ที่ 51.1 ภาคบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ไม่ถึงค่าฐานที่ 50 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 49.7 ส่วนภาคธุรกิจที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 51.2 จากระดับ 52.7
แม้ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ยังคงเป็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เพิ่มสูงที่สุดเท่าที่เกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ความรุนแรงของโรคไม่มาก เมื่อเทียบกับระลอกก่อนหน้า โดยมีปัจจัยบวกด้านผู้บริโภคและกำลังซื้อจากโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 ที่เข้ามาช่วยพยุงกำลังซื้อของผู้บริโภค
ขณะที่ผู้ประกอบการมีการพัฒนาศักยภาพ โดยนำเทคโนโลยี/ดิจิทัล/นวัตกรรมมาใช้ในดำเนินกิจการมากขึ้น ปรับรูปแบบของการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ อีกทั้งผู้ประกอบการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ในเรื่องมาตรฐานการผลิต/ความปลอดภัย/สุขอนามัย และความสะอาดของสถานประกอบการมากขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ยังคงต้องเฝ้าระวังต่อไป คือ ต้นทุนราคาสินค้า และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจเป็นอย่างมาก
เมื่อพิจารณาถึงดัชนี SMESI ของผู้ประกอบการรายภูมิภาค เดือนกุมภาพันธ์ 2565 พบว่า เกือบทุกภูมิภาคมีระดับความเชื่อมั่นเกินกว่าค่าฐานที่ 50 โดยภูมิภาคที่ระดับความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 54.1 จากระดับ 53.2 รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 52.0 จากระดับ 51.1 ส่วนภูมิภาคที่ระดับความเชื่อมั่นลดลง ได้แก่ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.1 49.5 51.1 และ 50.7 ตามลำดับ
ปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ดัชนี SMESI ในส่วนภูมิภาคโดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น พบว่า มาจากกำลังซื้อและ การจับจ่ายใช้สอยสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค และภาคบริการในส่วนของร้านอาหาร โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนภาคการผลิตในภูมิภาคยังคงขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ที่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ อีกทั้งมีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อของโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 รวมถึงการขยายตัวของกลุ่มผลิตยารักษาโรคและสมุนไพร จากแนวโน้มความใส่ใจในสุขภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาวะธุรกิจภูมิภาคปรับตัวดีขึ้นจากการค้าปลีกและค้าส่ง ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงกลุ่มก่อสร้างขนาดเล็กและธุรกิจการซ่อมบำรุง
ส่วนภาคใต้ ซึ่งมีค่าดัชนีปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าค่าฐาน และมีค่าดัชนีลดลงมากที่สุด แม้ว่าธุรกิจการท่องเที่ยวจะได้รับผลดีจากโครงการ Test & Go จากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและแต่เป็นการกระจุกในบางจังหวัด ที่สำคัญผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่ ขณะที่กลุ่มโรงแรมขนาดเล็กยังไม่ได้รับผลดีเท่าที่ควร ประกอบกับยังขาดกำลังซื้อจากผู้บริโภคต่างประเทศเนื่องจากมีการปิดด่านชายแดน ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงปรับตัวลดลง
ที่มา สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ภาพประกอบ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม