หวั่นสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อทุบเศรษฐกิจไทยทรุดเสียหาย 2.44 แสนล้าน
หอการค้าไทยหวั่นสงครามรัสเซียถล่มยูเครนยืดเยื้อบานปลายทุบเศรษฐกิจไทยเสียหาย 2.44 แสนล้านบาท เงินเฟ้อพุ่ง 4.5-5.5% จีดีพีโตเพียง 2.7% ชี้หากยืดเยื้อจีดีพีอาจติดลบ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและูธุรกิจหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนไว้ 3 กรณี โดยกรณีที่แย่ (ความขัดแย้งจบภายใน 3 เดือน) เศรษฐกิจเสียหาย 73,425ล้านบาทจีดีพีโต 3.7% เงินเฟ้อ 3-3.5% กรณีที่แย่กว่า (ความขัดแย้งจบภายใน 6 เดือน)เศรษฐกิจเสียหาย 146,850 ล้านบาทจีดีพีโต 3.3% เงินเฟ้อ 3.5-4.5%
กรณีที่แย่ที่สุด (ความขัดแย้งยืดเยื้อตลาดทั้งปี) เศรษฐกิจเสียหาย 244,750 ล้านบาทจีดีพีโต 2.7% เงินเฟ้อพุ่ง 4.5-5.5% บนราคาพื้นฐานน้ำมันเฉลี่ย 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมมองไว้ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบารเรล
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันน้ำมันแตะที่ระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 0-2% แต่ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้งว่าประเทศตะวันตกจะมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มหรือไม่ โดยจะมีการทบทวนตัวเลขจีดีพีใหม่อีกครั้งหลังสงกรานต์
ทั้งนี้กรณีเหตุการณ์บานปลายสงครามยืดเยื้อราคาน้ำมันทะลุ 130-150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และจีดีพีจะติดลบ
นอกจากนี้เห็นว่าหากรัฐกู้เงินเพื่อพยุงราคาน้ำมันนั้นสามารถทำได้แต่หนี้สาธารณะจะสูงขึ้นจาก 60% เป็น 70% ปัจจุบันไทยใช้น้ำมันวันละ 70 ล้านลิตรต่อวัน
หากใช้เงินชดเชยวันละ 500 ล้านบาทต่อวัน หรือ 15,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่ถ้าตรึงเฉพาะดีเซลปริมาณการใช้น้ำมัน 50 ล้านลิตรต่อวัน ใช้เงินชดเชย 300-400 ล้านบาทใช้เงินประมาณ 10,000-12,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่จะตรึงยาวนานไม่ได้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาน้ำมันแพงนั้น รัฐอาจขยายเพดานการตรึงราคาน้ำมันจาก 30 บาทต่อลิตรเป็น 32-35 บาทต่อลิตร ขณะเดียวกันอยากให้รัฐดูแลค่าเงินให้อยู่ในระดับ 32.50-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงควรมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียน ผ่านคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง ดูแลสภาพคล่องเอสเอ็มอีและให้เข้าถึงสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นรวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน
ที่มา หอการค้าไทย
ภาพประกอบ หอการค้าไทย