บันเทิง-อสังหาฯ มาแรงขึ้นแท่นธุรกิจเด่นเอสเอ็มอี
สสว.คาด GDP MSME ปีหน้าโต 3.2 – 5.4 % มูลค่าแตะ 5.66 - 5.78 ล้านล้านบาท ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปีนี้บันเทิง-อสังหาฯ-การศึกษามาแรงโตเด่น สวนทางท่องเที่ยวแป้ก
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( MSME) ในปี 2565 หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโอมิครอนได้คาดว่า GDP MSME จะเติบโตระหว่าง 3.2 – 5.4 % หรือมีมูลค่าประมาณ 5.66 - 5.78 ล้านล้านบาท
โดยมีปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของเศรฐกิจโลก และเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 30 - 40 % มีรายได้จากการท่องเที่ยว 0.59 ล้านล้านบาท คาดว่าธุรกิจในภาคบริการจะเติบโตระหว่าง 3.4 – 5.8 % และธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 65 ได้แก่ ธุรกิจอาหารแปรรูป ธุรกิจให้ความบันเทิง (สันทนาการ) ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจเครื่องสำอาง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโมเดิร์นเทรด ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจแปรรูปยางพารา
อย่างไรก็ดี คาดว่ามาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 65 ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ อย่างช้อปดีมีคืน โครงการคนละครึ่ง มาตรการลดภาระผู้ประกอบการ/ประชาชน รวมถึงมาตรการทางการเงิน ในโครงการของขวัญปีใหม่ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อเสริมสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่าย ฯลฯ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้กับประชาชน กระตุ้นให้เกิดการบริโภค การค้า การลงทุน ช่วยลดต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ MSMEs รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ให้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นต่อไป
สำหรับในปี 64 นั้น GDP MSME ขยายตัว 2.4 % หรือมีมูลค่ารวม 5.49 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34.6 % ของ GDP รวมของประเทศ สาขาธุรกิจที่ขยายตัวมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจด้านความบันเทิงและนันทนาการ รองลงมาคือ ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านการศึกษา ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ยังคงลดลง
ส่วนสถานการณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศของ MSME มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยการส่งออกปี 64 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 20 % เมื่อพิจารณาในช่วง 11 เดือนแรกของปี (ม.ค.-พ.ย.) MSME มีการส่งออกคิดเป็นมูลค่ารวม 915,211.9 ล้านบาท ขยายตัว 19.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 11.8 % ของมูลค่าการส่งออกรวมของประเทศ
ตลาดส่งออกหลักที่สำคัญของ MSME ขยายตัวทุกตลาดโดยเฉพาะจีนที่มีการขยายตัวสูงคิดเป็น 42.5 % ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนขยายตัว 8.4 % สหรัฐอเมริกา 9.0% ญี่ปุ่น 12.6 % และสหภาพยุโรป 14.4 % สำหรับสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงสุด ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ 50 12.6 % รองลงมาคือ อัญมณีและเครื่องประดับ 34.7 12.6 % นอกจากนี้ยังมีกลุ่มไม้และของทำด้วยไม้ พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า และผลไม้สด ขยายตัวระหว่าง 16.5 - 32.3 %
ส่วนการนำเข้าของ MSME ช่วง 11 เดือนแรก (ม.ค. - พ.ย.) มีมูลค่า 1,030,688.3 ล้านบาท ขยายตัว 11.4 % คิดเป็นสัดส่วน 13.4 % ของมูลค่าการนำเข้ารวมของประเทศ โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ และ ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า
ในด้านจำนวนกิจการและการจ้างงานของ MSME จากข้อมูลของระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคม ในรอบปี 64 เป็นต้นมา แม้จะหดตัวลงตามวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่นับตั้งแต่เดือน ต.ค. เป็นต้นมา สถานการณ์กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกิจการ MSME เข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า คิดเป็น 6.35 % หรือมีจำนวนรวม 421,525 แห่ง ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ COVID-19 ตั้งแต่เดือน เม.ย.63 เป็นต้นมา เช่นเดียวกับจำนวนการจ้างงาน ที่ขยายตัว 2.47 % หรือมีจำนวนการจ้างงานรวม 4,110,021 คน และหากไม่มีผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ คาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกอบการและจำนวนการจ้างงานเข้าระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น
ที่มา สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ภาพประกอบ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม