Exclusive Content :"Elephant Care Tourism"อนาคตท่องเที่ยวช้างไทย
ภาพลักษณ์ของกลุ่มธุรกิจที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับช้างในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดนโจมตีและกระแสต่อต้านจากต่างชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยไม่น้อย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่คนมีความผูกพันธ์กับช้างมาอย่างยาวนาน จะเห็นได้ง่ายๆเลย จากพระเพณีสำคัญๆต่างๆในบ้านเรา มีช้างเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหลายประเพณี จึงไม่น่าแปลกที่ปัจุบันจะเห็นธุรกิจท่องเที่ยวที่มักจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับช้างเข้ามาช่วยดึงนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องยอมรับว่าทัวร์ช้างจึงมีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ช่วยดึงดูดรายได้จากนักท่องเที่ยว
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับช้างในประเทศไทย ได้รับกระแสต่อต้านจากต่างชาติอย่างหนักทำให้นักท่องเที่ยวทางฝั่งยุโรป ที่มีความเชื่อหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับช้างลดลงไป โดยเฉพาะจากการที่สมาคมท่องเที่ยวแห่งอังกฤษ The Association of British Travel Agents หรือ ABTA ได้ออกกฎ 10 ข้อ เพื่อควบคุมเอเย่นต์ทั่วยุโรป ให้รณรงค์เลิกจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวช้างในเมืองไทย และยังผลักดันให้ออกกฎหมายรุนแรงเพื่อต่อต้านการท่องเที่ยวช้าง โดยเบื้องต้นกฎหมายนี้ จะกำหนดให้บรรดาปางช้าง หรือฟาร์มช้างต่างๆ ปล่อยช้างเข้าป่า ห้ามใช้ขอบังคับช้าง รวมถึงรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวยุโรปเลิกซื้อแพ็กเกจทัวร์ช้างในประเทศไทย ขณะเดียวกัน NGO ก็ได้ออกกฎข้อห้ามต่างๆที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก และบางข้อกำหนดก็ค่อนข้างย้อนแย้ง ไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริง และธรรมชาติของช้าง
คุณธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสมาพันธ์ช้างไทย และเจ้าของ Patara Elephant Farm บอกว่า มีคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างข้อมูลผิดๆ และเอามาแชร์บนสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการทารุณกรรมช้างในฟาร์มช้างของประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศและการท่องเที่ยวไทยอย่างมาก
"มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่นำเอาภาพ VDO เก่าๆ ที่เป็นการจัดฉากให้ควานทำท่าทางตามที่เขาบอก หรือ แม้แต่การนำเอาพิธีกรรมการผ่าจ้าน หรือการแยกลูกช้างที่หย่านมแม่ให้ออกจากตัวแม่ช้าง เพื่อเป็นการฝึกการใช้ชีวิตและหาอาหารตามธรรมชาติของช้างเอง ซึ่งเหล่านี้ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนเข้าใจผิดๆ คือมันเป็นความเชื่อไปแล้ว เขาไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เราต้องการจะบอก จึงต้องสร้างความเข้าใจให้เขารับรู้ "
สำหรับ Patara Elephant Farm เป็นฟาร์มช้างในเชียงใหม่ ที่มีจุดยืนและนโยบายที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวช้าง "Elephant Healthcare base on Tourism" โดยที่นี่จะเน้นให้ความรู้ กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะจำกัดนักท่องเที่ยวเพียงวันละ 45 คน ที่จะเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกับช้างเพื่อไม่ให้ช้างทำกิจกรรมเกินกว่าธรรมชาติที่ควรจะเป็น อาทิ การดูแลช้างแบบเดียวกับควาญช้าง ตรวจสุขภาพช้าง ให้อาหารช้าง โดยจะมีสัตวแพทย์และทีมผู้เชี่ยวชาญ ที่จะนำเอางานวิชัยเชิงลึกมาให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเข้าใจและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับช้างในเมืองไทย ขณะเดียวกันฟาร์มยังมีบทบาทเป็นคลินิกช้างที่เชี่ยวชาญช้างแม่และช้างเด็ก ซึ่งในรอบ 17 ปี สามารถทำคลอดช้างได้แล้ว 14 เชือก ปล่อยกลับคืนสู่ป่าได้แล้ว 7 เชือก
ด้านคุณภาเวส บัลลานี ผู้จัดการ Elephant Jungle Sauntuary Camp เล่าว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลช้างต่อเชือกจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นบาท/เชือก ซึ่งที่แคมป์ Jungle Sauntuary มีช้างทั้งหมด 52 เชือก มีควานประจำตัวช้างทุกเชือก พนักงานอีก 150 คน จะเน้นจ้างงานชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่ โดยแคมป์ช้างที่ดูแลจะเน้น พัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ขณะเดียวก็ยังคงให้ความบันเทิงกับนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวช้างถือเป็นรายได้หลักที่หมุนเวียนไปยังชุมชน โดยลูกค้าหลักยังเป็นนักท่องเที่ยวที่เที่ยวด้วยตนเองจาก ยุโรป อเมริกา ประมาณ 60% อีก 40% เป็นชาวเอเชีย เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ซึ่งล่าสุดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ก็ทำให้นักท่องเที่ยวจากจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์หายไปทั้งหมด
ด้าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลและกระตุ้นการท่องเที่ยวประเทศไทย ก็กำลังอยู่ระหว่างการผลักดันแคมเปญ "Elephant Care Tourism" เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจรวมถึงปรับทัศนะคติเกี่ยวกับการดูแลช้างให้กับนักท่องเที่ยวใหม่ เพราะไทยถือเป็นประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้าง
โดยคุณศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ททท. อยู่ระหว่างสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวช้างในเมืองไทยให้กับต่างชาติรับรู้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยงฝั่งยุโรป ที่ยังมีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการเลี้ยงช้าง โดยตั้งแต่ปี 2563 จะจัดทำโครงการ "ช้างเพื่อการท่องเที่ยว" ภายใต้โครงการ "Elephant Care Tourism" เพื่อนำเสนอการท่องเที่ยวที่ใส่ใจชีวิตของช้าง ด้วยกลยุทธ์ 3 C ได้แก่ C1-Communication สื่อสารการรับรู้สู่สาธารณะให้ได้มากที่สุด ผ่านการนำเสนอข้อฒูล ข้อเท็จจริง ผลการวิจัยต่างๆ ,C2-Collaboration การหาทางออก วางแผนร่วมกันภายใต้กติกาบนหลักความเป็นจริง และ C3- Compromisation มีความยืดหยุ่นเหมาะสม เพื่อให้ทุกฝ่ายปฏิบัติได้โดยไม่เดือดร้อน
ซึ่งเป้าหมายที่จะผลักดัน "Elephant Care Tourism" นี้ ททท. เตรียมจะไปพูดคุย สร้างการรับรู้บนเวทีโลกในงาน International Travel Brose หรือ ITB 2020 ระหว่างวันที่ 4-8 มีนาคม 2563 ที่เยอรมัน เพื่อลดผลกระทบทางการตลาดที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จะเชิญคณะสื่อมวลชนและเอเย่นต์จากยุโรปและสวีเดน มาลงพื้นที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับช้าง รวมถึงให้ความรู้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวช้างอย่างถูกต้อง เพื่อฟื้นฟูทัวร์ช้างในเมืองไทย กระตุ้นการท่องเที่ยวตลาดยุโรปเพิ่มมากขึ้น
อนาคตการท่องเที่ยวช้างของไทยจะเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือหยุดอยู่กับที่ ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่าย ตั้งแต่ภาครัฐ เอกชน ควาญช้าง ชาวบ้าน ทั้งห่วงโซ่อุปทานของการท่องเที่ยว ที่จะต้องปรับตัวและหันมาให้ความสำคัญกับช้าง ที่สำคัญต้องสร้างความเข้าใจให้กับนักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด เพราะรายได้ที่เกิดขึ้น หาก "คนก็อยู่ได้" นั่นก็หมายถึง "ช้างก็อยู่ได้"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Exclusive Content : รับมือวิกฤตฝุ่น PM 2.5-วิกฤตท่องเที่ยว
- Exclusive Content : "ไวรัสโคโรนา"พ่นพิษ ส่อท่องเที่ยวไทยวูบ 3 เดือน
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand